วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 12:14:34 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด
(มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 12.05 น. บวก 0.10 บาท หรือ 0.60% มาที่ 16.70
บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 110.72 ล้านบาท
ขณะที่ดัชนีตาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.53% ทั้งนี้ ราคาหุ้น HMPRO
ปรับขึ้นจากระดับราคา 16.20 บาท ในวันที่ 4 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 16.60
บาท ในวันนี้ (RSI=74) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 9 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” HMPRO จำนวน 1 แห่ง แนะนำ
“ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17.35 บาท
โดยราคาหุ้น HMPRO ในปัจจุบันเทรดที่ระดับ P/E 43.62 เท่า และ P/BV 11.85
เท่า
บล.ดีบีเอส วิคคเคอร์ส (ประเทศไทย)
ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น HMPRO
โดยให้ราคาพื้นฐานที่ 19.70 บาท เนื่องจาก HMPRO
ได้เพิ่มรูปแบบร้านค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ “Mega Home Center (MHC)”
โดยผลิตภัณฑ์ที่วางขายใน MHC
จะเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง (Construction Material:
CM) ในสัดส่วน 50% และที่เหลือ 50% เป็นสินค้าสำหรับการตกแต่ง (Decorative
Product)
โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความต้องการสินค้า
ประเภทวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มผู้รับเหมา และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่ คาดว่าจะเปิดสาขาแบบ MHC 3 แห่งในไตรมาส 4/56 และปี 57 เปิดอีก
4-5 แห่ง สำหรับยอดขายต่อสาขาของ MHC คาดว่าจะสูงเป็น 1.5 เท่าของสาขา
HMPRO ปัจจุบัน สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ จะมีเปิดสาขาที่กัวลาลัมเปอร์
มาเลเซีย 2 แห่งในปี 57 (ในไตรมาส 1/57 และไตรมาส 4/57)
นอกจากนั้นกำลังพิจารณานำโครงการที่หัวหิน
ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่ามากที่สุดขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์
โดยขนาดกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนนี้จะสรุปในกลางปี 56
ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 56-57
จะขยายตัวแข็งแกร่งมาก 31% และ 37% ตามลำดับ
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11
มี.ค.) ว่า โฉมหน้าระบบขนส่งของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างมากใน 7
ปีข้างหน้าด้วยการลงทุนด้านโลจิสติกส์ 2 ล้านล้านบาท ทั้งระบบถนน ราง
ขนส่งทางน้ำ และอากาศ
การขนส่งทั้งประเทศจะถูกเชื่อมต่อครบวงจรตั้งแต่เหนือจรดใต้
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP เฉลี่ยปีละ 1.3% สร้างงานเพิ่ม 5 แสนตำแหน่ง
ลดต้นทุนด้านการขนส่งจากปัจจุบัน 15.2% ของ GDP เหลือ 13.2%
ลดการนำเข้าน้ำมัน กระจายความเจริญออกนอกกรุงเทพ และเพิ่มการค้าตามชายแดน
และด้วยการร่วมลงทุนจากเอกชนในรูปแบบ PPP (คาดร่างพรบ. PPP
จะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาต้น เม.ย.นี้) ทำให้หนี้สาธารณะไม่สูงเกิน 50%
ของ GDP หุ้นที่ได้ประโยชน์มีมากมายเช่น STEC, CK, ITD, SEAFCO, AOT, DCON,
TMT, DRT, HMPRO, KTB, KBANK, BTS, BGH, ERW, PS, SIRI