Custom Search

Search This Blog

Monday, April 29, 2013

CK เล็งกำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปีก่อน รวมทั้งบันทึกกำไรขายหุ้น BMCL


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 15:49:34 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดปีนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนจากงานในมือ (backlog) ที่มีจำนวนมาก อีกทั้งจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ประมาณ 1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/56 โดยบริษัทจะยังคงรักษาสัดส่วนถือหุ้นใน BMCL ไว้ระดับปัจจุบันที่ 16%
ขณะที่มีงานในมือ (backlog) ณ เดือนเม.ย.ที่ระดับ 1.65 แสนล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะมีงานในมือเข้ามาอีก 3-4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้ 3-4 พันล้านบาทในช่วงกลางปีนี้ เนื่องจากมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท
ส่วนการนำหุ้นบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (CKP) เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น บริษัทคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ในประเทศลาว ที่กลุ่มบริษัทถือหุ้นอยู่นั้น มีแผนที่จะลงทุนปีละ 700 ล้านบาท ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 60



แม็ค กรุ๊ป เตรียมขาย IPO 200 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 14:04:20 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

น.ส.สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป  ในฐานะผู้จัดจำหน่ายกางเกง“แม็ค ยีนส์" เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) “ธนชาต" เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)
แม็คกรุ๊ป ประกอบธุรกิจเป็นผู้บริหารการจัดจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องแต่งกายที่เกี่ยวข้อง ภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ และเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น โดยได้เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2518 จากการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปประเภทยีนส์ภายใต้แบรนด์ของตนเอง คือ “แม็ค" (Mc) ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องมากว่า 38 ปี
ในปี 2555 กลุ่มบริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการขยายตัว และมุ่งเน้นการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ การเปิดร้านค้าของตนเองให้ครอบคลุม และพร้อมที่จะก้าวไปสู่การขยายตัวในต่างประเทศรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน (AEC) โดยบริษัทฯ ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2556 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินค้าภายใต้แบรนด์แม็ค (Mc) แม็คเลดี้ (McLady) และไบสัน (Bison) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปประเภทยีนส์ และเครื่องแต่งกายที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนขยายฐานการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2556 เพื่อตอบโจทย์ต่อไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวแบรนด์ “แม็ค พิงค์" (Mc Pink)ซึ่งเป็นเสื้อผ้าในกลุ่ม Fast fashion สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน และในกลางปี 2556 บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดแบรนด์ “แม็ค มินิ"(Mc Mini) เป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับเด็ก รวมถึงการเปิดเว็ปไซท์ “www.wowme.co.th" แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ สำหรับจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่าน ช่องทางอินเตอร์เน็ต
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้วางแผนการขยายร้านค้าปลีกของตนเอง และจุดขายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์สโตร์ชั้นนำทั่วประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2555 บริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 511 แห่งทั่วประเทศไทย และคาดว่าภายในปีสิ้นปี 2556 จะมีช่องทางจัดจำหน่าย 596 แห่งทั่วประเทศ
ในปี 2557 บริษัทฯ มีการวางแผนด้านโลจิสติกเพื่อให้การกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยขยายจากคลังสินค้าเดิมไปยัง ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ และวางแผนที่จะเปิดศูนย์การออกแบบผลิตภัณฑ์และโชว์รูม (Design center) ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำ ตลาดได้อย่างยั่งยืน
ด้านน.ส.สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บล. ธนชาต กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ในระหว่างได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทฯ ได้ออกหุ้นสามัญเพื่อเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ไม่เกิน 200,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท
บริษัทฯมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ หลังหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหุ้น เพื่อลงทุนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทฯ ลงทุนในคลังสินค้า ศูนย์การกระจายสินค้าใหม่ และศูนย์ออกแบบ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ



TCAP บวก 3 วันติด กูรูมองงบดุลที่มีคุณภาพ ราคาต่ำกว่ามูลค่า


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 12:31:17 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ณ เวลา 12.25 น. บวก 0.75 บาท หรือ 1.64% มาที่ 46.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 339.21 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.03% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TCAP ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 วันติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. ที่ระดับราคา 44.50 บาท มาแตะที่ระดับราคา 46.50 บาท ในวันนี้ (RSI=62.86) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 8 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TCAP และอีก 5 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 50.26 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น TCAP เทรดที่ P/E 10.67 เท่า และ P/BV 1.37 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 เม.ย.) ว่า TCAP เป็นหุ้นเด่นรายวัน เนื่องจากเราปรับประมาณการกำไรหลักของ TCAP ในปี 56-58 ขึ้นโดยเฉลี่ย 4% เพื่อสะท้อนรายได้ค่าธรรมเนียมไตรมาส 1/56 ที่แข็งแกร่ง และสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ดีขึ้นในระยะกลาง ความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและจำนวนการตั้งสำรองฯ ที่น้อยไปน่าจะคลี่คลายลง เมื่อมีการขายหุ้น “ธนชาตประกันชีวิต” ออกไปในไตรมาส 2/56 (มีกำไร 4.7 พันล้านบาท) ซึ่งจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นมาอยู่ที่ 9.5% ในสิ้นปี 56 จากที่อยู่น้อยกว่า 8% ในไตรมาส 1/56
ทั้งนี้ เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” โดยปรับมูลค่าที่เหมาะสมตามวิธี GGM เป็น 51 บาท จาก 42 บาท อ้างอิง RoE 13.25% และ CoE 12.2% และการเติบโตในระยะยาว 7% โดยในกลุ่มธนาคารระดับกลางเราแนะนำ TCAP มากกว่า KTB เนื่องจากราคาหุ้นที่ Laggard และการตั้งสำรองที่ดีกว่า KTB โดยมีความเสี่ยงคือ 1) ไม่สามารถขึ้นค่าธรรมเนียมได้ 2) คุณภาพสินเชื่อที่ลดลง



CK เก็งรายได้ขั้นต่ำปีนี้ที่ 2.5-2.8 หมื่นลบ. จากงานในมือทำนิวไฮ


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 12:54:28 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้ขั้นต่ำที่ประมาณ 2.5-2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะที่มองอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin) ที่ระดับ 8-10% เนื่องจากตอนนี้บริษัทมีงานในมือนับว่ามากสุดเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างมั่นคง 5-6 ปี ซึ่งจะหนุนรายได้ปีนี้ให้เติบโตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนที่รัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเข้าร่วมประมูลได้ทุกโครงการ โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งใน โครงการต่างๆ 25-30%



AP วิ่งแล้ว 10.06% กูรูมองครึ่งหลังปีนี้แข็งแกร่งสุด ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก เป้า 11 บ.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 11:16:09 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ณ เวลา 11.05 น.อยู่ที่ระดับ 9.30 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.09 % ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ลงมาทดสอบระดับ 8.45 บาท เมื่อวันที่ 9 เม.ย.56 จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 10.06%ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 7 แห่งแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.46 บาท
บล.ดีบีเอสฯระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 เม.ย.56) ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส1/56 อ่อนลง คือลดลง 43% เทียบปีก่อน สืบเนื่องจากการโอนคอนโดได้น้อย อีกทั้งอัตรากำไรที่ลดลง ตามการโอนคอนโดที่น้อยลง ซึ่งปกติอัตรากำไรของคอนโดนั้นสูงกว่าแนวราบ ทั้งนี้รายได้ในไตรมาส1/56 มีสัดส่วนมาจากคอนโดที่เพียง 30% จากรายได้ทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับ ไตรมาสก่อน กำไรลดลงถึง 73% เพราะฐาน ไตรมาส 4/55 AP มีการโอนคอนโดเป็นจำนวนมาก
แต่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/56 ฟื้นตัวและ ครึ่งหลังปีนี้แข็งแกร่งที่สุด สืบเนื่องจากมีคอนโดก่อสร้างแล้วเสร็จและมีการโอนมากในช่วงระยะเวลานั้น เราคาดว่ายอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปลายไตรมาส 1/56 เป็น 28.3 พันล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการรับรู้รายได้ปีนี้และปีหน้าในจำนวน 11 และ 8.5 พันล้านบาท ตามลำดับ และส่วนที่เหลือในปี 57 ดังนั้น Backlog ที่สูงจึงเป็นการรับประกันประมาณการรายได้ในสัดส่วน 70% สำหรับปีนี้ และ 37% ในปีหน้า ถือว่ามั่นคง
แนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นยังถูก นั่นคือขณะที่ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มที่อยู่อาศัยซื้อขายเพิ่มจากค่าเฉลี่ย (Mean) ในอดีตที่ +1SD หรือ +2SD แต่ AP ซื้อขายเพียงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ด้านกำไรสุทธิกลับทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ จึงถือว่าน่าสนใจสำหรับการซื้อเพื่อลงทุน ราคาหุ้นซื้อขายด้วย P/E ปี 56 ที่เพียง 10.5 เท่า กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 56 ที่ 12.5 เท่า (1 PEG)




Wednesday, April 17, 2013

BTSGIF เทรด 19 เม.ย. โชว์ 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ BTS-มอร์แกน สแตนลีย์-ยูบีเอส


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 14:36:38 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มบริการ ในวันที่ 19 เมษายน 2556 เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) กองแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดย BTSGIF เสนอขายหน่วยลงทุนต่อประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 4 เมษายน 2556 จำนวน 5,788 ล้านหน่วย ในราคาหน่วยละ 10.80 บาท รวมมูลค่าเสนอขาย 62,510.40 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เป็นบริษัทจัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
BTSGIF ลงทุนในรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่ง มวลชนกรุงเทพสายหลักหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามสัญญาที่ได้ตกลง ไว้กับกองทุน นับจากวันที่กองทุนและบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) ทำการซื้อขายเสร็จสิ้นจนถึงวันสิ้นสุดอายุสัญญาสัมปทาน (4 ธันวาคม  2572) ทั้งนี้ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักที่กองทุนจะเข้าลงทุน ได้แก่ สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช) และสายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ครอบคลุมระยะทาง 23.5 กิโลเมตร โดย BTSC ยังคงเป็นผู้ดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักดังกล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่ากองทุน BTSGIF จะทำให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และให้โอกาสแก่ผู้ลงทุนทุกประเภทที่ต้องการโอกาสรับรายได้สม่ำเสมอจากการลง ทุนในธุรกิจขนส่งมวลชนทางรางของบีทีเอส ซึ่งเป็นวิธีการสัญจรที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน เพราะทั้งสองเส้นทางผ่านพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร รวมถึงมีโอกาสรับประโยชน์จากรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของจำนวนผู้โดยสาร จากการขยายระบบเครือข่ายขนส่งมวลชน การเพิ่มขบวนรถไฟฟ้าและการปรับค่าโดยสารตามรูปแบบของสัญญาสัมปทาน รวมถึงการบริหารงานโดย BTSC ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารระบบขนส่งมวลชนทางราง ทำให้ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับที่ดีในช่วงเสนอขาย หน่วยลงทุน
ทั้งนี้ BTSGIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการคืนเงินลงทุนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยมากกว่าปีละ 1 ครั้งในกรณีที่กองทุนมีกำไรสะสมเพียงพอ เมื่อรวมแล้วในแต่ละรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
โดย BTSGIF มีผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 33.33 % MORGAN STANLEY & CO. INTERNATIONAL PLC. ถือหุ้น 21.33% และ UBS SECURITIES PTE LTD. ถือหุ้น 21.33%



TMB บวก 1.57% สื่อตีข่าว ING เตรียมขายหุ้นเดือนหน้า เทคนิคซื้อสะสม


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 12:59:26 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ปิดตลาดช่วงเช้าบวก 0.04 บาท หรือ 1.57% มาที่ 2.58 บาท สูงสุดที่ 2.62 บาท ต่ำสุดที่ 2.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 422,61 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.52 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.31%
โดยราคาหุ้น TMB ปรับตัวขึ้นขณะที่มีข่าวว่าไอเอ็นจี เอ็นวี ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ เตรียมขายหุ้นที่ถืออยู่ในเดือนหน้า ทั้งนี้แหล่งข่าวเผยกับรอยเตอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ไอเอ็นจีฯเตรียมขายหุ้นมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่ถือครองอยู่ 31% ใน TMB เดือนหน้า หลังการเลือกตั้งในมาเลเซียที่กำหนดมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ค. สำหรับการที่ไอเอ็นจี กำหนดเวลาขายหุ้นในเดือนหน้านั้น เนื่องจากต้องการให้ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และมาลายัน แบงกิ้ง หรือเมย์แบงก์ ซึ่งเป็น 2 แบงก์ยักษ์ใหญ่ของมาเลเซียเข้าร่วมประมูลด้วย โดยมีการคาดกันว่า ธนาคารทั้ง 2 แห่งดังกล่าว รวมทั้งสถาบันการเงินที่สนใจเข้าร่วมการประมูลจากมาเลเซียจะยังไม่ดำเนินการ ใดๆ จนกว่ามาเลเซียจะเสร็จสิ้นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่าไอเอ็นจี ได้แต่งตั้งเจ.พี.มอร์แกนให้หาผู้สนใจที่จะเข้าซื้อหุ้น TMB
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (17 เม.ย.) ว่า ราคา TMB ปิดเป็นแท่งเทียนแดงแต่ราคายังสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันและ 10 วัน หากวันนี้ราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย ดังกล่าวได้จะเกิดสัญญาณ Golden Cross แนะนำ "ซื้อสะสม" ทั้งนี้ให้แนวรับที่ 2.46, 2.38 บาท แนวต้านที่ 2.66, 2.80 บาท



KMC คุยผถห.แห่จองหุ้นเพิ่มทุนล้น รับทรัพย์ 2.1 พันลบ. เตรียมแถลงแผนลงทุนใหม่


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 12:13:45 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยถึงผลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 4,223,536,546 หุ้น ที่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ซึ่งครบกำหนดการใช้สิทธิ์ไปเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมาว่าได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี โดยมีการแสดงความจำนงซื้อหุ้นเกินสิทธิ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นที่มีต่อ KMC หลังจากที่บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตาม แผนธุรกิจที่เคยประกาศเอาไว้
ทั้งนี้การเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทจะได้รับเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะใช้เงินเพื่อลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูป แบบ เพื่อขับเคลื่อนให้ KMC สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ซึ่งทีมผู้บริหารเตรียมที่จะแถลงแผนการลงทุนใหม่ในเร็วๆ นี้
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/2556 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเริ่มเห็นตัวเลขกำไรได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ โครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra รัชดา ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra Rama 9 เฟสแรก จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายในปีนี้  ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ จำนวน 1,100 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอน และจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของ KMC ในปี 2556 นี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายรวมแตะ 1,500 ล้านบาท



CIMB คาดเข้าจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยภายใน Q4/56


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 11:01:50 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายนาซีร์ ราซัค ซีอีโอของซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิงส์ของมาเลเซีย เปิดเผยวันนี้ว่า ซีไอเอ็มบี ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไทยภายในไตรมาส 4 ปีนี้



Friday, April 12, 2013

HMPRO ลบ 12.57% ขึ้น XD วันแรก ทยอยสะสมรับเมกาโฮม-กองอสังหา


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 15:24:31 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ล่าสุด ณ เวลา 14.56 น. อยู่ที่ 14.60 บาท ลดลง 2.10 บาท หรือ 12.57% มูลค่าการซื้อขาย 278.57 ล้านบาท โดยวันนี้ (12 เม.ย.)  HMPRO ขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล ซึ่งจ่ายเป็นเงินสดในอัตราที่ 0.0186 บาทต่อหุ้น และจ่ายเป็นหุ้นในอัตรา 6 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยปัจจุบัน HMPRO ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 43.90 เท่า P/BV ที่ 11.93 เท่า ขณะที่บล.ธนชาตแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายก่อน XD ที่ 21 บาท
บล.ทรีนีตี้ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ว่า ผู้บริหาร HMPRO เปิดเผยว่าปี 2556 ตังเป้ารายได้โต 15%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจะมีแผนขยายสาขาใหม่ในไทย 10-12 แห่ง เพื่อรองรับกำลังซื้อที่เติบโตขึ้นมาก ส่วนการขยายสาขาในมาเลเซียคาดจะเริ่มเปิดได้ในปี 57 ขณะที่งบลงทุนที่ตั้งไว้ 9.8 พันล้านบาท คาดจะมาจาก CFO ที่มีเฉลี่ยปีละ 3.5 พันล้านบาทและขายหุ้นกู้วงเงิน 4-5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/56 ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างศึกษาตั้ง Property Fund หรือ REIT ทั้งนี้เราคาดปี 56 จะมีกำไรสุทธิโต 29%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในระยะยาวคาดจะโตได้ต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนเพิ่มเติมของการขยายสาขาในมาเลเซียและจากแผนขยายธุรกิจใหม่เม กาโฮมในไทย แนะนำ ซื้ออ่อนตัว โดยมีราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 16.80 บาท โดยเป้าหมายหลัง XD อยู่ที่ 14.40 บาทต่อหุ้น แต่จากศักยภาพการเติบโตที่ดี อีกทั้งเรามีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการในอนาคต เพราะปัจจุบันยังไม่ได้รวมแผนลงทุนธุรกิจใหม่เมกาโฮม



INTUCH ปรับขึ้น 3 วันติด กูรูขยับเพิ่มราคาเป้าหมาย ลุ้นประมูลทีวีดิจิตอล ส.ค.นี้


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 11:03:38 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ณ เวลา 10.57 น. บวก 1.50 บาท หรือ 1.94% มาที่ 78.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นเป็นอันดับ 2 ที่มูลค่า 483.51 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.27% ทั้งนี้ ราคาหุ้น INTUCH ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 73.50 บาท ในวันที่ 9 เม.ย. มาแตะที่ระดับราคา 78.75 บาท ในวันนี้ (RSI=56.93) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” INTUCH โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 90.33 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น INTUCH เทรดที่ P/E 17.97 เท่า และ P/BV 10.99 เท่า
บล.เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 เม.ย.) ว่า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น INTUCH โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 81 บาท หลังการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และคาดว่าไตรมาส 1/56 จะมีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อนหน้า (รวมรายการพิเศษ FX Gain 160 ล้านบาท) และมี Upside Risks จากการประมูลทีวีดิจิตอลในเดือนส.ค.นี้
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 เม.ย.) ว่า การฟื้นตัวของ SET น่าจะเป็นโอกาสของการปรับพอร์ต หลังสงกรานต์เชื่อว่าหุ้นจะตกต่อ โดยมีแรงกดดันจากภายนอก กลยุทธ์การลงทุนให้ถือหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำน้อยกว่าตลาด และให้ถือหุ้น 30% ของเงินลงทุน โดยยังชื่นชอบ INTUCH (FV@B98) และเลือกเป็นหุ้น Top pick



MDX แรง 3 วันติดบวก 4.32% กูรูมองเทคนิคฟอร์มตัวดีเป้ารอบนี้ 22 บ.


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 10:42:40 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

MDX วิ่งยาว 3 วันติด บวก 4.32% กูรูมองเทคนิคฟอร์มตัวดีเป้ารอบนี้ 22 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MDX ณ เวลา 10.44 น.อยู่ที่ระดับ 16.90 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.32% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 3 วัน ติด โดยนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.56
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (12 เม.ย. 56) ว่า  MDX จากราคาแค่ 3-4 บาทกลายเป็นหุ้นราคา 2 หลัก และทำท่าจะไปต่อไม่หยุด หลังจากที่ผลประกอบการพุ่งทะยานอย่างน่าสนใจ ยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากโรงไฟฟ้าเข้าเต็ม ๆ รวมทั้งโรงไฟฟ้าเทิน ทำให้บริษัทมี Value เพิ่มขึ้นมาก
สิ่งที่กำลังคาดหมายกันอย่างกว้างขวางก็คือการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าในปีนี้ นั้นอย่างน้อย MDX ก็ต้องได้สักแห่ง ซึ่งจะทำให้ในอนาคตรายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมาจาก 3 แหล่ง คือ ขายที่ดิน ขายระบบสาธารณูปโภค และโรงไฟฟ้า จะทำให้รายได้ในปี 56 ควรจะมีฐานขั้นต่ำคือ 600 ล้านบาท พร้อมให้เป้าหมาย 22.7 บาท ขณะที่สัญญาณเทคนิคถือว่าฟอร์มตัวได้ดี กราฟกำลังเกิด W-shape รอบใหญ่ โดย MACD เกิด Buy signal แล้วมีเป้ารอบนี้ 22 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (12 เม.ย. 56) ว่า  MDX หุ้นซิ่งในกระแสประมูลโรงไฟฟ้า โดยจับมือกับมารูเบนิ เข้าร่วมประมูล พร้อมให้แนวรับ 16 บาท ส่วนแนวต้าน 17.5 บาท



Thursday, April 11, 2013

CK เก็งรายได้ Q1 ดีกว่างวดปีก่อน จ่อบุ๊คกำไรขาย BMCL ใน Q2


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 17:48:56 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในไตรมาส 1/56 ดีกว่างวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีมูลค่างานในมือมากขึ้น ขณะที่จะมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัทน้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้กำไรสุทธิจะดีกว่าปีก่อน และตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตประมาณ 25-30% โดยในไตรมาส 2/56 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการ ขายหุ้น บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นมูลค่าไม่ถึง 1 พันล้านบาท



THCOM บวกยาว 5 วัน ยอดจองไทยคม 6 สูงกว่าจุดคุ้มทุนแล้ว หุ้นวิ่ง 42% ตั้งแต่ต้ันปี


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 14:52:15 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ล่าสุด ณ เวลา 14.33 น. อยู่ที่ 34.50 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 5.34% มูลค่าการซื้อขาย 208 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น THCOM อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคาสูงสุดที่ 37.25 บาท และเริ่มฟื้นตัวหลังจากราคาอ่อนตัวลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 29.50 บาท โดยวันนี้ (11 เม.ย.) ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคฟื้นตัวชัดเจน ล่าสุดราคาหุ้น THCOM ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ที่ 206.39 เท่า และ P/BV ที่ 2.53 เท่า ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” 7 แห่ง และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 35.64 บาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” เราคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท ด้วยผลประกอบการที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากการขยายตลาด iPSTAR และการยกเลิกธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่าง Mfone โดยปี 56 ได้รับผลบวกจากการเซ็นสัญญากับลูกค้า TOT และการขายแบนด์วิชทั้งหมดในจีนให้กับกลุ่มบริษัท Synertone ในขณะที่ 3Q56 เตรียมยิงดาวเทียมไทยคม 6 ซึ่งปัจจุบันบริษัททำ Presale ไปแล้วถึง 40% เกินระดับคุ้มทุน และดีกว่าเป้าหมายเดิมของบริษัท จากแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตดีกว่าคาดทำให้เรามีการปรับเพิ่มกำไรสุทธิ ตั้งแต่ในปี 57 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 36% และปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานจากเดิม 26.30 เป็น 36.22 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า THCOM จะยิงดาวเทียมไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจรช้ากว่าคาด 2-3 เดือน เมื่ออิงกับข้อมูลจากการประชุมทางโทรศัพท์กับทีมนักลงทุนสัมพันธ์ของTHCOM พบว่า ดาวเทียมไทยคม 6 น่าจะถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรในไตรมาส3/56 และจะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค. 2556 ช้ากว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 2-3 เดือน ทำให้เรามีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรของเราลงเล็กน้อย ข่าวดี คือ ดาวเทียมไทยคม 6 มียอดจองช่องสัญญาณเข้ามาแล้ว 40% ของช่องสัญญาณทั้งหมด สูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ 30%
เรายังคงชอบ story ของ THCOM เกี่ยวกับการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน และแนวโน้มการเติบโตของทั้งธุรกิจดาวเทียมแบบทั่วไปและ iPSTAR อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าประเด็นนี้สะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว เนื่องจากราคาหุ้น THCOM ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 42% YTD และ EV/EBITDA ปี 2556 ที่ระดับ 9.8 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 8.6 เท่าแล้ว ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ Neutral สำหรับ THCOM และราคาเป้าหมายที่คำนวณด้วยวิธี SOTP ที่ 38 บาท ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าของธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจโทรศัพท์ที่ 34.3 บาท/หุ้น และมูลค่าเงินลงทุน 42% ใน CSL ที่ 3.7 บาท/หุ้น



SVOA เตรียมส่ง ลีซ อิท เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ราว Q2/57


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 13:47:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA เปิดเผยว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้นำบริษัท ลีซ อิท จำกัด (ลีซ อิท) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนของ ลีซ อิท แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ คาดว่าจะนำ ลีซ อิทเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนภายในไตรมาส 2/57
นอกจากนี้ ลีซ อิท มีความประสงค์จะระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจโดยเพิ่มทุนจำนวน 16,000,000 บาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาท (ลีซ อิทจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 5 บาทเป็น 1 บาท ภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ลีซ อิท ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 29 เมษายน
2556)
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ลีซ อิท และอนุมัติให้ ลีซ อิทเพิ่มทุนอีกจำนวน 16,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 100,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 100,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด(Private Placement)
เหตุผลและความเห็นของคณะกรรมการในการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ลีซ อิท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปในธุรกิจที่ไม่ใช่ ธุรกิจหลัก (Core Business) ดังนั้น จึงเห็นควรให้ ลีซ อิท หาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ หรือ strategic partner รายใหม่เพื่อให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการขยายกิจการ



AI เล็งนำ บ.ย่อยเข้าตลท. พร้อมจัดสรรหุ้น IPO ให้ผู้ถือหุ้น AI


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 13:51:52 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เที่ยงวันนี้ว่า ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการนำบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด เข้าจดทะเบียนใน ตลท.
โดยบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 44.50 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดย AI จำนวน 27.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 17 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ได้ให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นของ AI จองซื้อหุ้นของบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด ได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวนสูงสุดไม่เกิน 25 ล้านหุ้น หรือผู้ถือหุ้น AI จำนวน 2 หุ้นมีสิทธิจองซื้อหุ้นบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด ได้ 1 หุ้น



CK พุ่ง 4.91% ขานรับเซ็นสัญญาสายสีเขียววันนี้-กูรูปรับเพิ่มคาดการณ์กำไร


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 11:12:36 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ เวลา 11.04 น. บวก 1.10 บาท หรือ 4.91% มาที่ 23.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 648.29 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.80% ทั้งนี้ ราคาหุ้น CK ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคา 20.80 บาท ในวันที่ 9 เม.ย. มาแตะที่ระดับราคา 23.50 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 5 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” CK จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 31.06 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น CK เทรดที่ P/E 65.13 เท่า และ P/BV 4.33 เท่า
ขณะที่ เช้านี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า วันนี้ (11 เม.ย.) รฟม.จะมีพิธีลงนามสัญญางานก่อสร้างงานระบบรา ง(สัญญาที่ 2) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ กับ CK ทั้งนี้คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการได้ในปี 60 โดย CK เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 2,465 ล้านบาท ชนะบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD และกิจการร่วมค้า สเตค-เอ เอส
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น CK โดยเราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 36 บาท จากเดิม 34.90 บาท เนื่องจากปรับเพิ่มกำไรปกติ และกำไรสุทธิปี 56 ขึ้นจากกำไรที่รับรู้จริง และกำไรทางบัญชีที่เปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์เผื่อขายจากการขาย บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL (ประมาณ 2.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2/56) และกำไรจากการขายบริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW (ประมาณ 8.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/56) หลังจากขายแล้ว การถือ BMCL จะลดลงเหลือ 16.64% ซึ่งทำให้กำไรของ CK ดีขึ้น เนื่องจาก BMCL ยังขาดทุน ทำให้คาดว่ากำไรปกติในปีนี้ของ CK จะเติบโต 181% และปีหน้าเติบโต 107% ส่วนกำไรสุทธิในปีนี้โตก้าวกระโดดถึง 1,848% ยังคง



JAS วิ่งอีก 3.17% เก็งธุรกิจบรอดแบนด์หนุนกำไร 1Q56 โตโดดเด่น ราคาถูกสุดในกลุ่มฯ


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 11:56:59 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ณ เวลา 11.50 น. บวก 0.20 บาท หรือ 3.17% มาที่ 6.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 252.25 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.23% ทั้งนี้ ราคาหุ้น JAS ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคา 6.15 บาท ในวันที่ 5 เม.ย. มาแตะที่ระดับราคา 6.55 บาท ในวันนี้ (RSI=51.92) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” JAS โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 8.17 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น JAS เทรดที่ P/E 21.05 เท่า และ P/BV 5.17 เท่า
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น JAS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 8.10 บาท เนื่องจากคาดกำไรไตรมาส 1/56 ของ JAS จะยังออกมาดี ที่ 662 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยคาดว่าไตรมาสนี้จะไม่มีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษอีกแล้ว โดยแม้ตัวเลข net add ของ ADSL จะชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ 43,000 ราย แต่จำนวนผู้ใช้ Wi-Fi เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดมาก
ทั้งนี้ เราเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากบรอดแบนด์ที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นจะ ช่วยทำให้อัตรากำไรในไตรมาส 1/56 ของ JAS เพิ่มสูงขึ้น สำหรับบริการ FTTH ปัจจุบันมีผู้ยื่นขอใช้บริการกว่าหมื่นราย โดยบริษัททยอยติดตั้งไปแล้ว 2,000 ราย ซึ่งสูงกว่าตัวเลขทั้งปีของเราที่ทำไว้ที่ยอดผู้ใช้บริการ 6,000 ราย โดยในปัจจุบันเรายังคงประมาณการการเติบโตกำไร 3 ปีข้างหน้าที่ 28% ต่อปี ซึ่งน่าสนใจเมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขาย 16 เท่า PER ในปี 56 และยังเป็นหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่มสื่อสารที่เราทำการศึกษาหากอิงค่า PEG ratio เรายังมองว่าอุตสาหกรรมยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ แม้จะมีการแข่งขันสูงขึ้นของผู้เล่นในตลาด
ด้าน บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า JAS ถือเป็นกลุ่มบริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง โดยพบว่าปัจจุบันตลาดอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยมีผู้ใช้ไม่ถึง 20% ในขณะที่ความต้องการใช้งานด้านข้อมูลมีการเติบโตที่ราว 20% ต่อปีในช่วง 3ปีข้างหน้านี้ ส่วนการขยายโครงข่าย 3G ของกลุ่มโอเปอร์เรเตอร์ทั้งภาครัฐวิสาหกิจ และเอกชน ถือเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ JAS มีโอกาสได้รับงานวางโครงข่าย WiFi หรือเครือข่ายใยแก้วนำแสงมากขึ้น ในด้านความสามารถในการทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ดีโดยมี EBITDA Margin สูงถึง 48% สูงกว่าคู่แข่ง True Online ที่ 35%
ขณะที่ เราคาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/56 ที่ราว 750 ล้านบาทเติบโต 30% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดดเด่นจากการเติบโตของลุกค้าธุรกิจบรอดแบรนด์ ขณะที่จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากไม่ต้องบันทึกรายการพิเศษเกี่ยวกับ TT&T เหมือนไตรมาสก่อนซึ่งได้บันทึกเต็มจำนวนไปแล้ว
ทั้งนี้ ในปี 56 คาดผลประกอบการเติบโต 33% จากทั้งส่วนลูกค้า ADSL ซึ่งประสบความสำเร็จกับโปรโมชั่น 590 บาท/10MB และผลบวกจากการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ FTTH (30 MB/1200 บาท) ที่เหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น และคาดว่าจะช่วยเพิ่ม ARPU ในครึ่งหลังปี 56 ราว 2-3%



สะสมหุ้น KTB หลังราคาอ่อนตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เก็งกำไร 1Q56 ทำนิวไฮ


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 10:22:37 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ณ เวลา 10.15 น. บวก 0.10 บาท หรือ 0.42% มาที่ 24.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 130.91 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.40% ทั้งนี้ ราคาหุ้น KTB อ่อนตัวจากระดับราคา 25.25 บาท ในวันที่ 3 เม.ย. มาแตะที่ระดับราคา 24 บาท ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 24.10 บาท ในวันนี้ (RSI=39.38) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 10 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” KTB และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 30.22 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น KTB เทรดที่ P/E 14.26 เท่า และ P/BV 1.86 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น KTB โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 30 บาท เนื่องจากเราประเมินว่าการปรับตัวลงของราคาหุ้น -8.6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับ SET BANK -4.6% และ SET INDEX -4.5% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด เป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสมหุ้น KTB อีกครั้ง โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/56 จะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 9.8 พันล้านบาท +54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +1,051% จากไตรมาสก่อนหน้า จากสินเชื่อที่ขยายตัว +5% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการเติบโตในทุกธุรกิจ ทั้งสินเชื่อภาครัฐ, Corporate, SMEs และ รายย่อย
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) คาดว่าจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.96% ในไตรมาส 1/56 จาก 2.85% ในไตรมาส 1/55 และ 2.93% ในไตรมาส 4/56 รวมทั้งการรับรู้รายได้เงินปันผลจากวายุภักษ์ราว 900 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยบวกต่อกำไรสุทธิไตรมาส 1/56 และคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 56 และเชื่อว่า KTB จะเป็น 1 ในธนาคารที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศของ รัฐบาล เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ดังนั้น เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 56 จะเติบโต 29.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 36,076 ล้านบาท รวมทั้งจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันพรุ่งนี้ สำหรับเงินปันผลครึ่งหลังปี 55 หุ้นละ 0.44 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.8%



Wednesday, April 10, 2013

SIRI เด้ง 2.65% หลังวานนี้ร่วงกว่า 9% พื้นฐานไม่เปลี่ยน


วันพุธที่ 10 เมษายน 2556 เวลา 16:11:57 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ณ เวลา 16.04 น. บวก 0.10 บาท หรือ 2.65% มาที่ 3.88 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 1.02 พันล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.68% ทั้งนี้ ราคาหุ้น SIRI อ่อนตัวลงแรงจากระดับราคา 4.88 บาท ในวันที่ 27 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 3.78 บาท วานนี้ (9 เม.ย.) ก่อนจะมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 27.88 บาท ในวันนี้ (RSI=27.88) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” SIRI และอีกจำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.74 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น SIRI เทรดที่ P/E 11.39 เท่า และ P/BV 2.32 เท่า
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 เม.ย.) ว่า SIRI ราคาหุ้นปรับลงแรงโดยพื้นฐานไม่เปลี่ยน โดย ราคาหุ้น SIRI วานนี้ปรับลง 9% เราคาดว่าส่วนหนึ่งเป็นแรงขายทำกำไรของหุ้นที่เกิดจากการแปลง SIRI-W1 ซึ่งเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 5 เม.ย. จำนวน 701 ล้านหุ้น (ราคาแปลงสภาพ 1.114 บาท/หุ้น) แต่อยู่ในประมาณการของเราอยู่แล้ว พื้นฐานของ SIRI ไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่ ยอด Presales ในไตรมาส 1/56 ยังเติบโตดี ซึ่งเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 20,900 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของเป้าหมายปีนี้ ส่วน Backlog สิ้นไตรมาส 1/56 ที่มีอยู่ 6 หมื่นล้านบาท ยังคงอยู่ในระดับสูง และทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 56-59
สำหรับกำไรในไตรมาส 1/56 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากคอนโดมีเนียมที่จะโอนในไตรมาส 1/56 เป็นโครงการที่โอนต่อเนื่องจากไตรมาส 4/55 ทั้งหมด ซึ่งเหลืออีกเพียง 48% ของมูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6 บาท



BTS เก็งงวดปี 56/57 ผู้โดยสารโต 8-10% ทำนิวไฮ 7.25 แสนเที่ยว/วันแล้ว


วันพุธที่ 10 เมษายน 2556 เวลา 15:48:21 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในงวดปี 56/57 (เม.ย.56-มี.ค.57) จะมีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 8-10% จากงวดปีก่อนที่มีจำนวน 197 ล้านเที่ยว โดยเมื่อวันที่ 27 มี.ค.56 ทำสถิติจำนวนผู้โดยสารสูงสุดที่ 7.25 แสนเที่ยว/วัน จากเดิมที่เคยทำยอดสูงสุดที่ 7.15 แสนเที่ยว/วันในวันที่ 14 ก.พ. 56 ซึ่งงวดปีที่ผ่านมายอดผู้โดยสารเติบโต 12%
ทั้งนี้ การเติบโตของจำนวนผู้โดยสารมีสาเหตุมาจากปัญหาการจราจรบนท้องถนนที่ติดขัด มาก และมีการโยกย้ายของประชาชนเข้ามาอยู่ในคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น เป็นผลให้มีการใช้รถไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยยอดผู้โดยสารช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ปรับตัวสูงขึ้นมากมาที่ระดับ 4-5 แสนเที่ยว/วัน จากเดิมอยู่ที่ 3 แสนเที่ยว/วัน ส่งผลทำให้มีส่วนต่างกับผู้โดยสารในวันธรรมดาไม่สูงมากเหมือนในอดีต
ขณะที่ บริษัทได้เตรียมเพิ่มขบวนรถไฟฟ้า 4 ตู้ต่อขบวน จำนวน 26-27 ขบวน จากทั้งหมด 35 ขบวน ภายในสิ้นเดือนเม.ย.นี้ เพื่อรองรับการเดินรถเส้นทางสุขุมวิทที่มีผู้โดยสารเพิ่มมาก โดยเฉพาะช่วงเร่งด่วน ขณะที่สายสีลม ได้เตรียมเพิ่มรถไฟฟ้าอีก 5 ขบวนเป็น 12 ขบวน แบบ 4 ตู้ ภายในสิ้นปี 56 ซึ่งจะมีการทยอยส่งมอบรถไฟฟ้าเข้ามา รวมทั้งบริษัทได้เตรียมเงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท สำหรับซื้อรถไฟฟ้า 7 ขบวน แบบ 4 ตู้ รองรับการเดินรถส่วนต่อขยายช่วง แบริ่ง-สมุทรปราการ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะสั่งซื้อได้ในปี 60 และใช้จริงในปี 62
นอกจากนี้ ยังคาดว่าในเดือน ธ.ค.56 จะสามารถเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปสถานีบางหว้าได้ หลังจากการประเมินงานก่อสร้างที่มีความคืบหน้าไปมาก โดยปัจจุบันมีการทดลองการเดินรถสถานีวงเวียนใหญ่ไปสถานีโพธินิมิตร และสถานีตลาดพลู
สำหรับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) มองว่าจากการโรดโชว์พบว่านักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศให้ความสนใจจองซื้อเกินขนาดของกองทุนถึง 25 เท่า ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้ค่อนข้างมาก ส่วนนักลงทุนรายย่อยจองซื้อเข้ามาเกินกว่า 2 เท่า โดยรวมจองซื้อเกิน 7 เท่า ซึ่งได้เคาะขายราคาสุดท้ายหน่วยละ 10.80 บาท และวานนี้ นักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาแลกเงินบาท เพื่อนำไปซื้อกองทุน BTSGIF จำนวน 2.68 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณว่า 40% ของวงเงินกองทุน BTSGIF รวม 6.25 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ บริษัทจะได้รับเงินจากการขายกองทุน BTSGIF ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 19 เม.ย. นี้
ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนมาซื้อหน่วยลงทุน 1 ใน 3 ของ BTSGIF เป็นเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท และกันเงินไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ ส่วนเงินที่เหลือกว่า 3 หมื่นล้านบาท จะนำไปใช้ในการลงทุนเดินรถเส้นทางใหม่ต่อไป ซึ่ง BTSC จะเข้าร่วมประมูล ซึ่งคาดว่าจะมีการประมูลเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบ่งริ่ง-สมทุรปราการ ก่อนเส้นอื่น และเส้นทางนี้จะมีการต่อขยายไปถึงบางปูในระยะต่อไป นอกจากนี้ปีนี้จะมีการประมูลสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย -มีนบุรี และสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ซึ่งเป็นเส้นทางที่บริษัทเข้าร่วมประมูลเดินรถต่อไป
ขณะที่ BTSC เมื่อได้ขายรายได้ล่วงหน้าในการเดินรถให้กับกองทุน BTSGIF จะไม่มีรายได้เข้าบริษัท แต่จะได้ค่าจ้างเดินรถให้กับ กทม.แทน ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาเดินรถอยู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ สะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่, อ่อนนุช-แบริ่ง, วงเวียนใหญ่-บางหว้า โดยรวมแล้วบริษัทจะมีรายได้เข้ามาปีละ 1.8 พันล้านบาท คาดว่าจะเข้ามาเป็นรายได้เต็มปีในงวดปี 57/58
อย่างไรก็ดี แม้ว่า BTSC ที่เคยสร้างรายได้หลักของกับ BTS แต่หลังจากนี้ก็จะได้รับรายได้จากบริษัทย่อยอื่นเข้ามาทดแทน ได้แก่ บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ผู้ผลิตสื่อโฆษณานอกสถานที่ และในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส และยังได้เงินปันผลจากกองทุน BTSGIF และคาดว่าในงวดปีนี้ BTS น่าจะมีกำไรดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
นอกจากนี้ BTS กรุ๊ป ก็ยังมีที่ดินเปล่าอยู่หลายแปลงทั้งในกทม. และต่างจังหวัด มูลค่ารวม (ตามราคาประเมิน) ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ ที่ดินบริเวณหมอชิต 15 ไร่ ที่ดินบริเวณพญาไท 3 ไร่กว่า ใกล้สถานีพญาไท รวมทั้ง BTS ได้ร่วมพันธมิตรบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า โดย BTS จะใช้ที่ดินของตัวเองเข้าร่วมหุ้น แต่ยังระบุไม่ได้ว่าจะประกาศความชัดเจนได้เมื่อใด



AI ฟื้นตัว วันนี้บวก 4.3% เม.ย.ได้ข้อสรุปไอพีโอหุ้นลูก คาดรับกำไรพิเศษ 700 ลบ.


วันพุธที่ 10 เมษายน 2556 เวลา 14:52:27 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI ล่าสุด ณ เวลา 14.46 น. อยู่ที่ 14.50 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 4.32% มูลค่าการซื้อขาย 64.73 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น AI แกว่งตัวขึ้นรอบนี้จากระดับราคา 12.70 บาท แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายจะไม่คึกคักเท่ากับช่วงเดือนมี.ค.ที่ระดับราคาหุ้น วิ่งขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 16.70 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 10.40 บาท ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้น AI ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 36.54 เท่า และ P/BV ที่ 4.68 เท่า
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” AI (เป้าพื้นฐาน 18.7 บาท) โดยระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 เม.ย.) ว่า PE ปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 5.3 เท่า (หากไม่รวมกำไรพิเศษจากการ IPO บริษัทลูกจะอยู่ที่ประมาณ 12 เท่า) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก
1) คาดกำไรปกติปีนี้โตมากกว่า 200% เนื่องจากโรงงานลูกถ้วยไฟฟ้าใหม่เดินเครื่องผลิตเต็มปี (ปีก่อนหยุดผลิตไตรมาส 2 เพื่อย้ายโรงงาน) ด้านธุรกิจไบโอดีเซล Turnaround มีรายได้ค่าเช่าคลังน้ำมันในครึ่งปีหลัง
2) นำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนใน SET คาดบันทึกกำไรพิเศษประมาณ 700 ล้านบาท (EPS 1.4 บาท) มีโอกาสนำกำไรพิเศษมาจ่ายปันผล และคาดซื้อหุ้นแม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นลูก (กลางเดือนนี้ประชุมผู้ถือหุ้นสรุปการ IPO บริษัทลูก)



SVOA เตรียมนำบ.ย่อยเข้าตลาดฯ mai พร้อมเพิ่มทุนขาย PP 16 ล้านหุ้น


วันพุธที่ 10 เมษายน 2556 เวลา 09:18:44 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายเธียรชัย ศรีวิจิตร ประธานกรรมการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติให้บริษัท ลิซ อิท จำกัด (สิซ อิท) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ
โดย สิซ อิท เพิ่มทุนจำนวน 16,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เนื่องจากปัจจุบันบริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปในธุรกิจที่ไม่ใช่ ธุรกิจหลัก (Core Business) ดังนั้น ลิซ อิท จึงมีความจำเป็นที่ต้องหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ หรือ strategic partner รายใหม่ การดำเนินการเพิ่มทุนของลิซ อิทดังกล่าว ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในลิซ อิท ลดลง
ทั้งนี้ หากลิซ อิทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนที่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยว โยงกันของบริษัทตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน และประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกำหนดบริษัทจะดำเนินการ เปิดเผยข้อมูล เพื่อให้เป็นไปตามประกาศที่เกี่ยวข้องกำหนด



Tuesday, April 9, 2013

TRUE ขยับขึ้น หลังกทค.มีมติสัญญา BFKT กับกสท.ไม่ขัดกฎหมาย


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2556 เวลา 15:16:23 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 15.12 น. บวก 0.10 บาท หรือ 1.32% มาที่ 7.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 171.09 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.08% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TRUE อ่อนตัวจากระดับราคา 8.20 บาท ในวันที่ 29 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 7.60 บาท ในวันที่ 5 เม.ย. ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.70 บาท ในวันนี้ (RSI=54.20) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TRUE และอีก 2 แง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.07 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น TRUE เทรดที่ P/BV 8.26 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (9 เม.ย.) ว่า แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น TRUE เนื่องจากเราคาดว่าราคาหุ้น TRUE มีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกในวันนี้ หลังการประชุม กทค.ในวันศุกร์ที่ผ่านมามีมติ 4 ต่อ 1 ว่าสัญญาระหว่าง BFKT กับ กสท.เพื่อให้บริการ 3G บนคลื่น 850 MHz ไม่ขัดต่อกฎหมายโทรคมนาคม ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็น Overhang มายาวนานกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่การอนุมัติของกทค.ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ Mobile Operator สามารถโอนย้ายลูกค้าภายใต้เลขหมายเดิม หรือ Mobile Number Portability ได้เพิ่มขึ้นจาก 4,000 รายต่อวัน เป็น 40,000 รายต่อวัน และสามารถดำเนินการผ่านช่องทาง เช่น SMS, Website ได้ จะส่งผลให้การย้ายลูกค้าจาก Truemove มายัง Truemove H ได้เร็วยิ่งขึ้น และส่งผลบวกให้ต้นทุน Regulatory Cost ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1/56 จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของเราว่าบริษัทมีแนวโน้มเข้าสู่จุดคุ้มทุนได้ในครึ่ง หลังปี 56 นอกจากนั้น การอ่อนค่าลงของเงินเยนถึง 10% Ytd จะส่งผลให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 300 ล้านบาท เนื่องจากมีหนี้สกุลเยนคงเหลือประมาณ 10,000 ล้านเยน รวมทั้งมี Upside Risk ต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หากสามารถจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ จะส่งผลให้บริษัทสามารถระดมทุนได้จำนวนมาก และส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทดีขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (9 เม.ย.) ว่า BFKT ไม่ผิดกฎหมายโทรคมนาคม : เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) ที่ประชุม กทค. ลงมติ 4:1 ว่า บริษัท BFKT ในเครือกลุ่มทรูฯ ไม่ผิดกฎหมายโทรคมนาคม เนื่องจากไม่เข้าข่ายตามมาตรา 4 พ.ร.บ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ให้บริการแก่บุคคลทั่วไป เพราะเป็นผู้ให้เช่า และจัดซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมแก่ CAT เพียงรายเดียว
ทั้งนี้ในระยะสั้นเราเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อการลงทุนใน TRUE เนื่องจากจะช่วยคลายความกังวลแก่นักลงทุนและเพิ่มความมั่นใจต่อผู้ที่สนใจ เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับ TRUE ในอนาคต



ADVANC จัดกลุ่มลูกค้าบางส่วนเริ่มใช้ 3G ใหม่วันนี้


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2556 เวลา 14:34:36 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC (เอไอเอส) เปิดเผยว่า ในวันนี้บริษัทได้ใช้ระบบ Electronics Random คัดเลือกลูกค้าบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่ให้บริการและมีเครื่องโทรศัพท์พร้อม ด้วยซิมการ์ดที่รองรับบริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ได้เริ่มใช้บริการเบื้องต้นก่อนจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงต้น พ.ค.นี้กับพื้นที่ให้บริการมากกว่า 20 จังหวัด จากนั้นจะขยายการให้บริการครบหัวเมืองของทั้ง 77 จังหวัดภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ หลังจากได้รับใบอนุญาตให้บริการ 3G บนคลื่นใหม่จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยใช้งบประมาณราว 7 หมื่นล้านบาทใน 3 ปี เตรียมการให้พร้อมมอบบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยคุณภาพในทุก ด้าน โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือนก็สามารถเริ่มทำให้เครือข่ายพร้อมรองรับการใช้งานในหัวเมือง 18 จังหวัดรวมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานครได้
อย่างไรก็ดี บริการ 3G ในมุมมองของเอไอเอสจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม มอบประโยชน์ สร้างคุณภาพชีวิต และเสริมศักยภาพให้แก่คนไทย จึงได้ร่วมกับพันธมิตรที่เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม
ล่าสุด บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) และบริษัท บางกอก สมาร์การ์ด ซิสเทม จำกัด ในฐานะของผู้พัฒนาและให้บริการระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์"แรบบิท"ได้เข้ามาเป็น พันธมิตรร่วมพัฒนาบริการกับเอไอเอสรูปแบบ SIM Card บน AIS 3G ใหม่ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิกที่นวัตกรรมมีความปลอดภัยสูงสุดเกิด ขึ้น และอำนวยความสะดวกให้แก่การใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเป็น รายแรกและรายเดียวเท่านั้น
ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ BTSC กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมพัฒนาโครงการชำระเงินผ่านเทคโนโลยี MFC โดยนำโทรศัพท์มือถือรุ่นที่รองรับเทคโนโลยีนี้ในระบบ AIS 3G ใหม่ ไปใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าและระบยขนส่งมวลชนอื่นๆ รวมถึงใช้ซื้อของ ณ ร้านค้าที่ร่วมให้บริการ ซึ่งบริการ AIS mPAY Rabbit ไดแริ่มเปิดให้ลูกค้าทดลองบริการก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาส 3 ปีนี้



BECL เตรียมออกหุ้นกู้ 1 พันลบ.ปลายปีนี้ เพื่อสร้างทางด่วนศรีรัชฯ


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2556 เวลา 14:37:13 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อใช้ลงทุนในโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร
อนึ่ง เมื่อปลายเดือน มี.ค.56 BECL ได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3-7 ปี 4 ชุด จำนวน 6,000 ล้านบาทเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดชำระ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างมาก มียอดจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่เสนอขายกว่า 3 เท่าตัว และการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้บริษัทสามารถลดรายจ่ายดอกเบี้ยลงได้ ปีละ 27 ล้านบาท
สำหรับปริมาณจราจรรวมในเดือน มี.ค.56 เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1.154 ล้านเที่ยว/วัน เพิ่มขึ้น 3.40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มีรายได้เฉลี่ย 22.54 ล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้น 3.77% เป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์โดยรอบทั้งในส่วนของย่านกลางเมืองและการ ขยายตัวของเขตเมืองไปยังที่อยู่อาศัยมากขึ้น รวมถึงปริมาณรถจดทะเบียนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยในปีที่ผ่านมามียอดรถใหม่จดทะเบียนในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นกว่า 46% สูงสุดในรอบ 15 ปี



กูรูชู KTB เด่นสุดกลุ่มแบงก์ เป้าปีหน้า 37 บ. เทคนิคหลุดแนวรับระวังแรงขายตามกลุ่ม


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2556 เวลา 11:05:23 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ณ เวลา 11.04 น. ลบ 0.30 บาท หรือ 1.22% มาที่ 24.30 บาท สูงสุดที่ 24.70 บาท ต่ำสุดที่ 24.10 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 363.76 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 9 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 29.77 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.73%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ (9 เม.ย.) ว่า ในระยะสั้นกลุ่มแบงก์ยังมีความกังวลเรื่องกฏเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้สูญใหม่ จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อรองรับเศรษฐกิจขาลง ทำให้คาดว่าธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ต้องตั้งสำรองเพิ่มจากปกติ สำหรับแบงก์อื่นจะไม่ตั้งเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว ขณะที่บางแห่งมีพอแล้ว ดังนั้น ยังคงแนะนำ Overweight หุ้นแบงก์ โดยเชื่อว่าจสามารถปรับตัวได้ในที่สุด และคาดว่ากำไรจะสร้างจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ราว 4.86 หมื่นล้านบาท ในไตรมาส 1/56 โดยเพิ่ม 54% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่ม 19% จากงวดเดียวกันในปีก่อนหน้า
ขณะที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 เม.ย.) คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/56 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเติบโตถึง 38% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูง และ NIM แข็งแกร่ง สำหรับ KTB มีกำไรสุทธิขยายตัวโดดเด่น 39% จากปีก่อนหน้า และ 940% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสินเชื่อเติบโตดี และฐานกำไรไตรมาส 4/55 ต่ำ จากตั้งสำรองค่าเผื่อฯ สูงมาก ด้านฐานะเงินกองทุนแข็งแรง สามารถรองรับการเติบโตในระยะยาวได้ และประเมินว่าธนาคารจะได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ
โดย KTB มีฐานสินเชื่อขนาดใหญ่ทั้งภาคธุรกิจและในส่วนของภาครัฐ (คิดเป็น 50% ของสินชื่อรวม) ประมาณการว่าสินเชื่อธนาคารจะขยายตัว 13% ในปีนี้ และ 16% ในปี 57 จึงคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียม KTB จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นในระยะกลางถึงยาว ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียมของ KTB ค่อนข้างที่จะห่างจากธนาคารในประเทศรายอื่น แต่ภายหลังจากการปรับโครงสร้างภายในแล้ว เชื่อว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตได้มากขึ้น และจะช่วยหนุน ROE ให้เพิ่มขึ้น ให้ KTB เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ราคาพื้นฐานปี 57 เท่ากับ 37 บาท
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (9 เม.ย.) ว่าราคา KTB ยังเกาะเส้นค่าเฉลี่ย  5, 10 และ 25 วันอยู่และไม่หลุดแนวรับ 24.60 บาท หากยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้งหมดได้อีกครั้งให้ซื้อเพิ่มเติม โดยให้แนวรับที่ 24.60 บาท ส่วนแนวต้านที่ 26.00, 27.25 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ (9 เม.ย.) ว่า ราคา KTB ปิดเป็นแนวโน้มแกว่งตัวทางขาลง คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 24, 23 บาท แนวต้าน 25.50 บาท กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อขายในกรอบแนวรับแนวต้าน เงื่อนไขการลงทุน ถ้าต่ำกว่า 25.50 ขาย กรณีที่มากกว่า 25.50 ซื้อ
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (9 เม.ย.) ให้ระวังแรงขายตามกลุ่มสำหรับ KTB ไม่ควรปิดต่ำกว่า 24.40 บาท โดยให้แนวรับที่ 24.6, 24.4 บาท ส่วนแนวต้านที่ 25.2, 25.8 บาท



CK แกร่งบวกเกือบ1% กูรูแนะซื้อพื้นฐานแกร่ง-บันทึกกำไร TTW Q1/56


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2556 เวลา 10:58:00 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ เวลา 10.51น.อยู่ที่ระดับ 22.00 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 0.92% ราคาหุ้นเริ่มสร้างฐานรอบใหม่บริเวณระดับ 22.00 บาท และบวกสวนภาวะตลาดหุ้นไทย โดย ณ เวลา 10.53 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,476.97 จุด ลบ 12.56 จุด หรือ 0.84% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 10,633.26 ล้านบาท
ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 11 แห่งแนะนำ “ซื้อ” และอีก 2 แห่งแนะนำ”ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ”ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 31.44 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (9 เม.ย.56) ว่า แนะ"ซื้อ"หุ้น  CK คาดหวังการ Rebound ของราคาหุ้นในระยะสั้นจากพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะปัจจุบันบริษัทมีงานในมือสูงถึง 1.18 แสนล้านบาท และถ้านำความเป็นไปได้ในโครงการรถไฟฟ้ารางคู่และโครงการป้องกันน้ำท่วมของ รัฐบาลเข้ามารวมด้วย ประเมินว่าจะได้เห็นงานในมือทั้งปีเพิ่มขึ้นอีก 3-4 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ การบันทึกกำไรจากมูลค่าลงทุนใน TTW เข้ามาราว 5.6 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 1 และการนำ CKP เข้าตลาดใน พ.ค.56 จะช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับราคาหุ้นด้วย พร้อมให้มูลค่าเหมาะสม 34.50 บาท



Friday, April 5, 2013

การบินกรุงเทพ จะขาย IPO 730 ล้านหุ้น ใช้ขยายฝูงบิน-สร้างโรงซ่อม


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 11:53:23 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.การบินกรุงเทพ ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)จำนวน 730 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.76% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ โดยเป็นหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯเสนอขายจำนวน 520 ล้านหุ้น และหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมคือนางสาวปรมาภรณ์  ปราสาททองโอสถ เสนอขาย 210 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย(SET) โดยมีบล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อการขยายฝูงบิน, การก่อสร้างโรงซ่อมอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิ, การก่อสร้างโรงครัวแห่งใหม่ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และขยายโรงครัว ณ สนามบินสมุย, การลงทุนในการเปิดเส้นทางบินใหม่, การลงทุนในซอฟแวร์ Enterprise Resource Planning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ, การชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธูรกิจของบริษัทฯ
บมจ.การบินกรุงเทพ ให้บริการเที่ยวบินประจำอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อปัจจุบัน คือ"สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส"ณ วันที่ 31 มี.ค.56 บริษัทฯให้บริการเที่ยวบินแบบประจำในเส้นทางบินภายในประเทศ 12 เส้นทาง และให้บริการเที่ยวบินแบบประจำในเส้นทางบินระหว่างประเทศอีก 11 เส้นทาง และยังให้บริการให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มลูกค้าในยุโรป เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และญี่ปุ่น โดยประสานความร่วมมือกับสายการบินอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทฯดำเนินงานในศูนย์ปฏิบัติการการบินหลักสองแห่ง คือ สนามบินสุวรรณภูมิที่กรุงเทพฯ และสนามบินสมุยที่สุราษฎร์ธานี
บริษัทฯมีบริษัทย่อย ดังนี้ บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ในบริษัท บางกอกแอร์เวย์สโฮลดิ้ง จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 90% ในบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์ เซอร์วิส จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% บริษัทการบินกรุงเทพบริการภาคพื้น จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ในบริษัท เอสเอ เซอร์วิสเซส จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 51% ในบริษัท บีเอฟเอส คาร์โก้ ดีเอ็มเค จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 90% ในบริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด, บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ในบริษัท บีเอซี กูร์เมท์ เฮ้าส์ จำกัด และบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 69.99% ในบริษัท บางกอกแอร์เคเทอริ่ง ภูเก็ต จำกัด
ส่วนบริษัทร่วม คือ บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 49% ในบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด และบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 25% ในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2555 บริษัทมีรายได้รวม 19,519.9 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 32,160.5 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,013.7 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 13,146.8 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 มี.ค.2556 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 2,100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนชำระแล้ว 1,580 ล้านบาท ภายหลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วบริษัทฯจะมีทุนชำระแล้ว 2,100 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มี.ค.2556 คือ นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้น 24.24% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 18.24%, นางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้น 30.31% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 12.81% และนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้น 20.23% หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 15.22%
บริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ จากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท



NWR หุ้นบวกเกือบ 3% เมินกูรูชี้ราคาสูงเกินพื้นฐานแล้ว


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 11:12:46 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ณ เวลา 11.12 น.อยู่ที่ระดับ 4.20 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 2.94% ราคาหุ้นยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องโดยนับตั้งแต่หุ้นปรับตัวขึ้นมาจากระดับ 1.11 บาท เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2555 จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 278.38%
บล.เอเซีย พลัส  ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5 เม.ย. 56) ว่า ราคาหุ้น NWR ขณะนี้ สูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ให้ไว้ จึงแนะ"ขาย"  ขณะที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ด้วยว่า คงคำแนะนำ เต็มมูลค่า สำหรับหุ้น NWR แม้ได้สะท้อนปัจจัยบวกการประมูลงาน ได้มากขึ้นหลังเพิ่มทุน แต่ราคาหุ้นขณะนี้ถือว่าแพงสุดในหุ้นรับเหมากลาง-เล็ก โดยให้ราคาพื้นฐาน NWR ที่หุ้นละ 4.03 บาท



BWG แจ่มทั้งเล่นสั้น-ยาว หุ้นเสี่ยงต่ำ ธุรกิจขยะอัดก้อนหนุน เทคนิคมีลุ้นแตะ 4 บ.


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 11:28:24 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ณ เวลา 11.28 น. บวก 0.06 บาท หรือ 2.40% มาที่ 2.56 บาท สูงสุดที่ 2.62 บาท ต่ำสุดที่ 2.46 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 372.18 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 1.57%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ (5 เม.ย.) ว่า ผู้บริหาร BWG ออกมาให้ข้อมูลค่อนข้างชัดเมื่อวันก่อน เกี่ยวกิจธุรกิจใหม่ ขยะอัดก้อนเข้ากระบวนการทางเคมี ออกมาเป็นเชื้อเพลิงความร้อนสูงเทียบเคียงถ่านหิน และขายให้กับบริษัทปูนซิเมนต์ ซึ่งมีการเซ็นต์สัญญากันแล้ว โดยคาดว่าตั้งแต่เดือนนี้ผลิตส่งในเฟสที่ 1 และอีก 2 เดือนเป็นเฟส 2 ส่วนปี 57 อยู่ที่ระดับ 1 พันตันต่อปี หรือรายได้ไม่น้อยกว่า 1.2 พันล้านบาท โดยมีอัตรา margin ที่สูงมาก เนื่องจากบริษัทมีขยะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงอยู่แล้ว สำหรับตัวเลขที่ประเมินใหม่ในปี 56 จะมีรายได้จากขยะอัด 720 บาท และกำไร 108 ล้านบาท รวมเป็น 198 ล้านบาท คิดเป็น EPS 0.28 บาท ปี 57 จะโตเท่าตัว จากนี้ให้ PE 14 เท่า จะได้เป้า 3.92 บาท ด้านเทคนิค momentum ของแรงเหวี่ยงเชื่อว่าจะไปได้ถึง 4 บาท แนะนำ "ซื้อ" ทั้งกรณีเล่นสั้นและยาว
ด้านบล.ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ (5 เม.ย.) แนะนำ "ซื้อ" BWG ประเมินราคาเหมาะสมที่ 3.24 บาท อิง PE13 ที่ 12 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมองว่ามอง BWG เป็น Growth stock และถือเป็น Defensive Stock เนื่องจากธุรกิจของบริษัทจะเติบโตตามการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมไทย ขณะเดียวกันมีการขยายตัวไปยังธุรกิจไฟฟ้าซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานไม่ผันผวน มากนัก



DEMCO สวนตลาด วันนี้บวกต่อ 2.6% เพิ่มทุนรับผลดีระยะยาว


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 10:31:35 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO ล่าสุด ณ เวลา 10.25 น. อยู่ที่ 15.70 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.61% มูลค่าการซื้อขาย 194.72 ล้านบาท ขณะที่ในเชิงเทคนิค ราคาหุ้น DEMCO มีสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องจากวานนี้ หลังจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจากระดับราคาสูงสุดที่ 19.50 บาทเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่ล่าสุด DEMCO ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 24.19 เท่าและ P/BV ที่ 5.60 เท่า
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ DEMCO การเพิ่มทุน 1.2 พันล้านบาท (ให้ผู้ถือหุ้นเดิม 5:1 @10 บาท และหุ้นเพิ่มทุน 1.6 หุ้นได้ 1 DEMCO-W5 และ 1 DEMCO-W6 XR และ XW 4 มิ.ย.) จะนำไปลงทุน 5% ในบริษัท วินเอนเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานลม 10 โครงการ รวม 780 MW (180MW ผลิตแล้ว มีเพียง 270MW ที่ยังไม่มีสัญญา) ทำให้ DEMCO ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งหมดเพิ่มเป็น 70MW จากปัจจุบัน 35MW ซึ่งเป็นผลในระยะยาว
ส่วนระยะสั้น บริษัทจะได้เงินปันผลจาก 3 โครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วเพิ่มขึ้นรวมปีละ 25 ล้านบาท เราปรับกำไรปี 2013-14 ขึ้น 9-11% ทำให้กำไรปีนี้โต 44% ชดเชย dilution จากการเพิ่มทุนได้หมด เราประเมินราคาเป้าหมายก่อนเพิ่มทุน 17.80 บาท มี upside จากราคาหุ้นปัจจุบัน 14% และหลังเพิ่มทุนเป็น 16.20 บาท ยังคงแนะนำซื้อ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5 เม.ย.) ว่า เรามองว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้ DEMCO จะได้ประโยชน์สุทธิสูง ทั้งโอกาสสำหรับงานก่อสร้างโครงการพลังงานลมอีก 690 MW หรือ 8.9 พันล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า โอกาสในการรับเงินปันผลระยะยาวจากโครงการพลังงานลมทั้งหมด 930 MW ตลอดระยะเวลา 10 ปี (หรือมากกว่า) ขณะที่กลยุทธ์การเลือกลงทุนบน Holding company ทำให้เงินลงทุน 1 พันล้านบาทนี้ มีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้อีกเมื่อ WEH ทำ IPO ใน 2 ปีข้างหน้า และ DE
วานนี้ (4 เม.ย.) DEMCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันศุกร์ (29 มี.ค.) พิจารณาอนุมัติจะเพิ่มทุนใหม่ 317.49 ล้านหุ้น เป็น 946.53 ล้านบาท จาก 629.04 ล้านบาท พาร์หุ้นละ 1 บาท โดยจะจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 125.81 ล้านหุ้น สัดส่วน 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 10 บาท กำหนดการชำระค่าหุ้นในวันที่ 24-28 มิ.ย.
นอกจากนี้จะจัดสรรไม่เกิน 78.63 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 5 ที่จะจัดสรรวอร์แรนท์ให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อ และได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนโดยไม่คิดมูลค่าในสัดส่วน 1.6 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 1 วอร์แรนท์
พร้อมกันนี้จะจัดสรรไม่เกิน 78.63 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิ วอร์แรนท์ในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 6 ที่จะจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม ที่จองซื้อและได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยไม่คิดมูลค่า ในสัดส่วน 1.6 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 1 วอร์แรนท์ ส่วนหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 34.43 ล้านหุ้น จะจัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ที่จัดสรรให้กับกรรมการ และพนักงานของบริษัท
สำหรับวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปใช้ซื้อหุ้น 5% คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านบาท ในบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง และเพื่อให้บริษัทมีส่วนของทุนที่แข็งแกร่ง สามารถรับงานที่มีขนาดใหญ่ได้มากขึ้น รวมถึงสำรองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ ของบริษัทด้วย ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้น ในช่วงไตรมาส 2/56
ทั้งนี้ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง เป็นบริษัทลงทุนในโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้า พลังงานลม โดยมีบริษัทในเครือ 13 บริษัท ซึ่งการลงทุนครั้งนี้เชื่อว่าจะสามารถ สร้างรายได้ และกระแสเงินสดที่แน่นอนได้อย่างสม่ำเสมอ



KAMART แกร่ง เก็งกำไรปีนี้ดีต่อเนื่องทุกไตรมาส เป็นจังหวะลงทุนรับ Warrant-เงินปันผล


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 10:38:04 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART ณ เวลา 10.32 น. บวก 0.05 บาท หรือ 0.51% มาที่ 9.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 4.36 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 1.36% ทั้งนี้ ราคาหุ้น KAMART ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกจากวานนี้ (4 เม.ย.) ที่ระดับราคา 9.75 บาท มาแตะที่ระดับราคา 9.80 บาท ในวันนี้ (RSI=46.55) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” KAMART โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 14.25 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น KAMART เทรดที่ P/E 29.53 เท่า และ P/BV 10.60 เท่า
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ว่า ปีนี้เราคาดว่า KAMART จะมีกำไรสุทธิ 273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มไตรมาส 1/56 เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 9% จากไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายเครื่องสำอางเติบโตต่อเนื่อง 6% จากไตรมาส 4/55
ทั้งนี้สินค้าแบรนด์ “Missha” มีผลไม่มากต่อยอดขายไตรมาส1/56 แต่จะทยอยเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัดไป ขณะเดียวกันการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสินค้าแบรนด์ และ House brand จะผลักดันยอดขายและกำไรดีขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาส
ขณะที่ เรายังชอบจุดเด่นของ KAMART จากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายกว้างกว่าคู่แข่ง ในปีนี้บริษัทเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่องจากแบรนด์ “Missha” โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม Make Up ซึ่งยังมีสัดส่วนน้อยกว่า 30% ขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีสัดส่วน 60-70% เรามองว่าผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade มากขึ้นเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตปีนี้
ทั้งนี้ เราประเมินมูลค่าเหมาะสม KAMART ก่อนรวมผล Dilution จาก Warrant ที่ 12.50 บาท และมูลค่าเหมาะสมรวม Fully diluted ที่ 11.50 บาท บริษัทมีจุดแข็งสภาพคล่องสูงเฉลี่ย 2-3 เท่า และฐานะการเงินมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนต่ำเพียง 0.1 เท่า คาดว่าปีนี้บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกไตรมาส ส่วนเงินปันผลงวดไตรมาส 4/55 หุ้นละ 0.06 บาท (yield 1%) และการแจก Warrant ฟรีให้ผู้ถือหุ้นอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 Warrant (KAMART-W) จะขึ้น XD และ XW วันที่ 25 เม.ย.นี้ มองเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นระยะสั้นแนะนำ “ซื้อ”
ด้าน บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (5 เม.ย.) ว่า KAMART ฟื้นตัวตามตลาด ทดสอบแนวรับ 9.20 บาท เนื่อง จากราคาปรับตัวลงตามตลาด และเป็นครั้งที่สองที่ลงไปลึกกว่าแนวเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 9.60 บาท กลับมาเป็นสัญญาณซื้ออีกครั้ง โดยคาดว่าจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 10.20 บาท เป็นจุดขายทำกำไรระยะสั้น
ขณะที่ เป้าหมายสำคัญที่ 10.60 บาท คาดว่าราคาหุ้นจะซิกแซกขึ้นไปทดสอบใกล้ยอดเดิมเป็นแนวต้านที่บริเวณ 10.50-10.60 บาท และเป็นจุดขายทำกำไรสำคัญของแนวโน้มย่อยรอบนี้



SVOA แกร่งวิ่งสวนตลาดฯ 2.26% คาดเก็งผลประมูลโครงการTablet 1.8 ล้านเครื่อง


วันศุกร์ที่ 05 เมษายน 2556 เวลา 10:20:40 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA ณ เวลา 10.11 น.อยู่ที่ระดับ 2.72 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.26% ราคายังเป็นขาขึ้นโดยนับตั้งแต่หุ้นปรับตัวอยู่ที่ระดับ 1.19 บาท เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 56 จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 42.41% ขณะเดียวกันหุ้นยังปรับตัวสวนทิศทางตลาดหุ้นไทยติดลบ โดย ณ เวลา 10.15 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,508.16 จุด ลบ 20.30 จุด หรือ 1.33% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6,864.52 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (5 เม.ย. 56) ว่า แนะ“ทยอยสะสม"หุ้น SVOA ราคาเหมาะสม 3.60 บาท ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ในเดือนนี้จากการประมูลโครงการ Tablet ของรัฐบาลจำนวน 1.8 ล้านเครื่อง โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ SVOA จะได้งานบางส่วนจากการประมูลดังกล่าว
อีกทั้ง SVOA เป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ 50% มาจากธุรกิจ Trading ซึ่งต้องนำเข้าอุปกรณ์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากต่างประเทศ ขณะที่รายได้อยู่ในรูปเงินบาท โดยเราเชื่อว่าเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ในวันพุธที่ผ่านมามีมติคงดอกเบี้ยที่ 2.75%
ขณะที่ครึ่งหลังปีนี้เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการประมูลงานวางระบบโทรคมนาคม ของรัฐบาล ภายใต้โครงการ Smart Thailand มูลค่ารวมสูงถึง 60,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2556 – 2558 และเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม ICT ที่ทำธุรกิจรับวางระบบโทรคมนาคม เนื่องจากมูลค่างานที่สูงมาก จึงมีแนวโน้มที่แต่ละบริษัทจะได้รับอานิสงค์เชิงบวกในทิศทางเดียวกัน ทุกบริษัท
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิปี 2556 จะเติบโตสูงถึง 99% เทียบปีก่อน เป็น 157 ล้านบาท และต่อเนื่อง +29.4% เทียบปีก่อน เป็น 204 ล้านบาท ในปี 2557 และราคาหุ้นยังมี Valuation ที่ค่อนข้างถูก โดยซื้อขายบน PER 2556 ที่ 11.7 เท่า ต่ำกว่ากลุ่ม ICT ขนาดกลางที่ 15 – 16 เท่า



Thursday, April 4, 2013

N-PARK หวังกำไรปีนี้เกือบ 1 พันลบ. หลังมีกำไรพิเศษ

วันพฤหัสบดีที่ 04 เมษายน 2556 เวลา 12:31:21 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นายนคร ลักษณกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ NPARK เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำได้เกือบ 1 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว หลังมีกำไรพิเศษจากการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/56 ประมาณ 400-500 ล้านบาท รวมถึงยังมีรายได้ในปีนี้อยู่ในระดับที่ดีด้วย ส่วนหนึ่งมาจากรายได้การขายที่ดิน และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ราว 6 พันล้านบาทให้หมดภายใน 1-2 ปี หลังมีแผนจะลดทุน รวมถึงนำเงินกำไรที่ได้มาทยอยล้างขาดทุนสะสมด้วย ขณะที่ ปีที่แล้ว N-PARK มีกำไรสุทธิ 376.51 ล้านบาท



สะสม BTS ลุ้นจ่ายปันผลพิเศษหลังขายกองทุนเสร็จ จำกัด Downside ช่วงตลาดผันผวน

วันพฤหัสบดีที่ 04 เมษายน 2556 เวลา 12:01:11 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 11.54 น. ลบ 0.20 บาท หรือ 2.19% มาที่ 8.95 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 1.10 พันล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 1.93% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS เริ่มอ่อนตัวจากระดับราคา 9.40 บาท ในวันที่ 29 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 8.95 บาท ในวันนี้ (RSI=51.34) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 4 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BTS และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.48 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น BTS เทรดที่ P/E 41.52 เท่า และ P/BV 2.19 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (4 เม.ย.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น BTS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 12.30 บาท เนื่องจากกองทุน BTSGIF จะเสร็จสิ้นการเปิดจองซื้อในวันนี้ โดยเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี จากผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 5.7% และไม่ต้องเสียภาษีเป็นระยะเวลา 10 ปี ดังนั้น เราคาดว่า BTSGIF จะระดมทุนได้ในช่วงสูงที่ 6.25 หมื่นล้านบาท หรือเทียบเท่าราคาขายที่ 10.80 บาท จากช่วงราคาที่ 10.40 – 10.80 บาท โดยจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ในวันที่ 19 เม.ย.
นอกจากนี้ ยังคาดว่า BTS จะสามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้ประมาณ 0.80 – 1.00 บาท หลังเสร็จสิ้นการขายกองทุน และคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8.7 – 10.9% ซึ่งจะช่วยจำกัด Downside Risk ของราคาหุ้นในช่วงภาวะตลาดผันผวน
รวมทั้ง เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาวของบริษัท เนื่องจากมีความพร้อมเต็มที่ต่อการลงทุนในอนาคต จากเงินสดในมือสุทธิสูงถึง 3-4 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าประมูลเดินรถไฟฟ้าสายใหม่ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตในอนาคต



N-PARK ฮุบกิจการโรงแรม ขอนแก่นบุรี พร้อมหนี้ รวมมูลค่า 930.76 ลบ.

วันพฤหัสบดีที่ 04 เมษายน 2556 เวลา 09:18:56 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือ N -PARK  เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติการซื้อหุ้นสามัญบริษัท ขอนแก่นบุรี จำกัด (“ขอนแก่นบุรี") จำนวน 8,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ในราคารวม 800,000,000 บาท จากนายโชคชัย คุณวาสี และ ผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งหมด และซื้อสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินให้กู้ยืมแก่ขอนแก่นบุรีเป็นเงินต้นจำนวน 130,760,174.48 บาท (ไม่มีดอกเบี้ย) ในราคา 130,760,174.48 บาท จากนายสุขุม สกุลอารีย์มิตร ซึ่งผู้ขายไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท
ทั้งนี้ หุ้นสามัญขอนแก่นบุรี ซึ่งคำนวณจากมูลค่าตามบัญชีตามงบการเงินของขอนแก่นบุรี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555มีมูลค่าหุ้นตามวิธีปรับปรุงมูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นละ 132.99 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 1,063,920,000 บาท และมีมูลค่าหุ้นตามวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิของกระแสเงินสด หุ้นละ 101.22 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 809,760,000 บาท
บริษัท ขอนแก่นบุรี จำกัด ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2551 ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจโรงแรม ภายใต้ชื่อ “โรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซนเตอร์ขอนแก่น" บริหารจัดการโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารของเซ็นทารา เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองขอนแก่น ถนนประชาสโมสร บนเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 36.9 ตารางวา (โดยขอนแก่นบุรีเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด) เริ่มเปิดดำเนินกิจการโรงแรม เมื่อเดือนมิถุนายน 2555 ภายในโรงแรมประกอบด้วย ห้องพักจำนวน 196 ห้อง และห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ จำนวน 4 ห้อง รูปแบบโรงแรมจะเป็นรีสอร์ทและสปาแบบไทยประยุกต์พร้อมด้วยห้อง จัดเลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดขอนแก่น สามารถจุคนได้ 3,700 คน สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวย ความสะดวกสบายอื่นๆ
ขณะที่ N-PARK มีแผนขยายการลงทุน และพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปในต่างจังหวัด ซึ่งจะเน้นการลงทุนในจังหวัดที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้เล็งเห็นศักยภาพของโรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซนเตอร์ขอนแก่น ตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยโรงแรมเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นนักธุรกิจ และกลุ่มสัมมนา ภายในโรงแรมสามารถรองรับการประชุมสัมมนา และการจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซนเตอร์ขอนแก่นจะเพิ่มโอกาส ในการสร้างรายได้ และผลกำไรมาสู่บริษัทในอนาคต
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทมีความเห็นว่าการเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นขอนแก่นบุรีเป็นการ ขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด ในสายธุรกิจโรงแรม ภายใต้ชื่อ “โรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซนเตอร์ขอนแก่น" ซึ่งจังหวัดขอนแก่นมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นนักธุรกิจ และกลุ่มสัมมนา ภายในโรงแรม ซึ่งโรงแรมเซ็นทาราแอนด์คอนเวนชั่นเซนเตอร์ขอนแก่นสามารถรองรับการประชุม สัมมนา และการจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ การเข้าลงทุนจะเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ และผลกำไรมาสู่บริษัทในอนาคต



Wednesday, April 3, 2013

กูรูชี้ TTA ฟื้นตัวชัดเจน เริ่มเห็นกำไรไม่เกิน Q2/56 เป้าระยะสั้น 20 บ.

วันพุธที่ 03 เมษายน 2556 เวลา 12:10:02 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 12.10 น. อยู่ที่ 18.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ 19.20 บาท ต่ำสุดที่ 18.70 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 254.87 ล้านบาท โดยราคาแกว่งตัวไซด์เวย์ขาขึ้นตั้งแต่ลงแตะระดับต่ำสุดที่ 16.30 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.15% ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 4 แห่งแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 24.20 บาท
บล.กสิกรไทยระบุในบทวิเคราะห์ (3 เม.ย.) แนะนำ TTA เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มปลอดภัยหรือ turnaround ที่มีระยะเวลาฟื้นค่อนข้างชัดเจน โดยธุรกิจให้เช่าเรือขุดเจาะ (AOD) ได้สัญญาเช่าครบทั้ง 3 ลำ และทยอยรับมอบเรือในปีนี้ ด้านธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำและการให้เช่าเรือขุดเจาะน่าจะทำให้กำไรสุทธิรวม เริ่มกลับมาเป็นบวกได้อย่างช้าที่สุดในไตรมาส 2/56 ขณะที่ธุรกิจเดินเรืออยู่ใกล้จุดต่ำสุด อีกทั้งดัชนีค่าระวางเรือ BDI เริ่มฟื้นขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ให้เป้าระยะสั้นที่ 20.00 บาท และขายเมื่อหลุด 16.30 บาท
ด้านเทคนิคบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ Trading สำหรับ TTA โดยให้แนวต้านที่ 19.60, 20.50 บาท ส่วนแนวรับที่ 18.50 บาท ขายเมื่อหลุด 18.30 บาท



ESSO วิ่งแล้ว 8.15% กูรูเชียร์ราคา Laggard คาดค่าการกลั่น Q1/56 ดีขึ้น

วันพุธที่ 03 เมษายน 2556 เวลา 11:03:38 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ณ เวลา 10.53 น.อยู่ที่ระดับ 9.95 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 2.58% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรอบใหม่หลังจากที่ลงมาทดสอบระดับ 9.20 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค.56 ล่าสุดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.15%ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.50บาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (3 เม.ย. 2556)  ว่า "เก็งกำไรระยะสั้น"หุ้น ESSO ให้เป้า Consensus 10.5 บาท เนื่องจากราคาหุ้น Laggard หุ้นกลุ่มโรงกลั่น (ESSO -4% YTD, TOP -1% YTD, BCP +12% YTD) นอกจากนี้ คาดค่าการกลั่นเฉลี่ยไตรมาส 1 ดีขึ้น เทียบไตรมาสก่อน เพราะมีโรงกลั่นในภูมิภาคปิดซ่อมบำรุงจำนวนมาก



N-PARK บวก 4.35% ลุ้นราคาหุ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง



วันพุธที่ 03 เมษายน 2556 เวลา 10:52:24 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือ N-PARK ณ เวลา 11.44 น. บวก 0.01 บาท หรือ 4.35% มาที่ 0.24 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 53.18 ล้านบาท โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดที่ 222.38 ล้านหุ้น ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.46% ทั้งนี้ ราคาหุ้น N-PARK ทรงตัวที่ระดับราคา 0.21 บาท ตั้งแต่วันที่ 25-28 มี.ค. ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 0.24 บาท ในวันนี้ (RSI=76.75) ซึ่งปัจจุบัน ราคาหุ้น N-PARK เทรดที่ P/E 40.58 เท่า และ P/BV 16.71 เท่า
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (3 เม.ย.) ว่า N-PARK มีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากมีโอกาสทำยอดสูงสุดใหม่ ราคา หุ้นมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่เคยทะลุผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 0.07 บาทได้สำเร็จ เป็นจังหวะซื้อหุ้น และมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องด้วยการทะลุผ่าน 0.16 บาท และ 0.20 บาท ตามลำดับ คาดว่าจะมีโอกาสทำยอดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ขณะที่มอง เป้าหมายถัดไปที่ 0.26 และ 0.30 บาท คาด ว่าราคาหุ้นจะมีจังหวะบวกต่อไป เป็นการเปลี่ยนกรอบซื้อขาย มีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ระดับ 0.26 บาท และ 0.30 บาท ตามลำดับ โดยมีแนวรับ 0.20 บาท แนวต้าน 0.26 บาท
โดยเมื่อวันที่ 1 เม.ย. N-PARK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 60,212,570,294 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 120,425,140,588 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 180,637,710,882 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 60,212,570,294 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยบริษัทจะนำหุ้นสามัญที่ออกใหม่ทั้งจำนวนออกจัดสรร และเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ (ในกรณีมีเศษหุ้นให้ปัดทิ้ง) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.029 บาท
ขณะที่ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในวัน ที่ 8 พฤษภาคม 2556 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 และกำหนดวันจองซื้อและรับชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนในระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2556
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนจดทะเบียน และการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Issue) ดังกล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงได้ชำระเงินค่า หุ้นที่เสนอขายจำนวน 53,500,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 0.029 บาท ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทครั้งที่ 13/2555 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2555




Tuesday, April 2, 2013

KMC ทรุดหนัก วันนี้ร่วงอีก 6.7% เพิ่มทุน1.2หมื่นล้านหุ้นฉุด รอล้างส่วนต่ำ-ขาดทุนสะสม


วันอังคารที่ 02 เมษายน 2556 เวลา 15:24:14 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC ล่าสุด ณ เวลา 14.38 น. อยู่ที่ 0.56 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ 6.67% มูลค่าการซื้อขาย 35.83 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น KMC อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 0.86 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาสูงสุดของปีนี้ เมื่อวันที่ 21 ม.ค.56 (ราคานี้เป็นระดับราคาที่ปรับค่าแล้วหลังจาก KMC มีการปรับพาร์จากพาร์ 10 บาท เป็นพาร์ 20 บาท และขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา) หลังจากนั้นราคาหุ้นก็อ่อนตัวลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน KMC ยังถูกขึ้นบัญชีซื้อขายด้วยเงินสดเท่านั้น (Cash Balance) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.-26 เม.ย.56 โดยล่าสุดราคาหุ้น KMC อ่อนตัวลงจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 0.86 บาทแล้วกว่า 34%
ทั้งนี้ KMC เพิ่มทุนจำนวน 4.2 พันล้านหุ้นให้ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ราคาหุ้นละ 0.50 บาท โดยกำหนดวันจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 29 มีนาคม 2556 ถึงวันที่ 12 เมษายน 2556 และเพิ่มทุน 2.6 พันล้านหุ้นเพื่อรองรับสิทธิในการแปลงสภาพ KMC-W 3 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิม และผู้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน และรองรับ KMC-W2 จำนวน 25 ล้านหุ้น นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มทุนอีก 5 พันล้านหุ้นให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง รวมแล้ว KMC เพิ่มทุนใหม่อีก 1.2 หมื่นล้านหุ้น
หลังจากนั้นบริษัทจะลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมและส่วนต่ำมูลค่าหุ้น โดยการลดพาร์จาก 20 บาท เหลือเพียง 0.65 บาท เพื่อให้สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้ง หลังจากกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง โดยล่าสุดในงบเฉพาะของ KMC ในปี 55 บริษัทมีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นอยู่ที่ 3.86 หมื่นล้านบาท และขาดทุนสะสม 1.58 พันล้านบาท
นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ในปี 56 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท จากเดิมตั้งเป้า 1 พันล้านบาท หลังจากได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra พระราม 9 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท หลังได้เทกโอเวอร์คอนโดมิเนียมดังกล่าวจากแบรนด์  Classe ของกลุ่มวิฑูร ธนากร ซึ่งหากขายได้ทั้งหมดก็จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ จำนวน 1.1 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ยังมีที่ดินเปล่าในพื้นที่ดังกล่าวที่เตรียมขยายโครงการในปี  57 จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมขายในปี 58 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น



สมาคมนักวิเคราะห์ชี้เป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ 1,704 จุด


วันอังคารที่ 02 เมษายน 2556 เวลา 14:03:07 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์  เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,704 จุด ขณะที่มองดัชนีปลายปีนี้จะอยู่ที่ 1,625 จุด โดยปัจจัยบวกสำคัญ มาจากโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท, การเติบโตในระดับสูงของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง
ด้านนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 56 ของบจ.ในตลาดหุ้นไทยจะเติบโตเฉลี่ย 20.3% ขณะที่คาดว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศ รวมถึงพอร์ตโบรกเกอร์จะซื้อสุทธิในปีนี้รวมกันกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท



TIPCO ลบ 6.2% หลังวิ่ง 142% ใน 10 วัน ผู้บริหารแจงไม่มีนโนบายขายหุ้นรอบที่ 3

วันอังคารที่ 02 เมษายน 2556 เวลา 13:24:10 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ราคาหุ้นบริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO ปิดเที่ยงที่ 15.10 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 6.21% มูลค่าการซื้อขาย 940.52 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น TIPCO ปรับตัวขึ้นจากระดับราคา 6.25 บาทเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังมีกระแสข่าวว่านายเจริญ สิริวัฒนภักดี กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อหุ้น TIPCO โดยบริษัทได้ออกมาปฏิเสธข่าวจำนวน 3 ครั้งด้วยกัน คือ วันที่ 26 มี.ค. 28 มี.ค. แต่ราคาหุ้นก็ยังคงปรับตัวขึ้นต่อและขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 16.80 บาทวานนี้ (1 เม.ย.) หรือปรับตัวขึ้นกว่า 169% จากระดับราคาวันที่ 22 มี.ค. ทำให้บริษัทต้องออกมายืนยันการไม่ขายหุ้นอีกครั้งเมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) และส่งผลให้วันนี้ราคาหุ้น TIPCO ปรับตัวลง 6.2% แต่ปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 142% จากระดับราคาวันที่ 22 มี.ค.
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อเวลา 19.58 น.วานนี้ (1 เม.ย.) ว่า บริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่มีนโยบายหรือการดำเนินการใดๆ ในการขายหุ้น TIPCO หรือหุ้นบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCOและหรือหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำผลไม้ออกไปจากโครงสร้างการลงทุนของบริษัทฯ
ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปัจจุบัน เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่ได้กำหนดไว้แล้ว สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่มได้ผนึกร่วมพันธมิตรกับบริษัท ซันโตรี่ เบฟเวอเรจ แอนด์ ฟูด เอเชีย จำกัด โดยมีการร่วมลงทุนในบริษัท ในเครือคือ บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์ บี จำกัด ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น 50: 50 กับบริษัท ซันโตรี่ เบฟเวอเรจ แอนด์ ฟูด เอเชีย จำกัด โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตใน ประเทศในกลุ่มอาเซียนร่วมกัน
สำหรับสินทรัพย์ของบริษัทฯ ประกอบด้วย ที่ดิน อาคารและเครื่องจักรที่ตั้งอยู่ ณ  โรงงานทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2 แห่ง โรงงานที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 แห่ง และโรงงานที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่อีก 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 4 แห่ง โดยที่อาคารทิปโก้ พระราม 6 ไม่ใช่ทรัพย์สินของบริษัทแต่อย่างใด สินทรัพย์รวมตามงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่  31 ธันวาคม 2555 เท่ากับ 5,977.8 ล้านบาท
โดย TIPCO ประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกสับปะรดและผลไม้แปรรูป นอกจากถือหุ้น 50% ในบริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเครื่องดื่มพร้อมดื่ม แล้วยังถือหุ้นใน TASCO ซึ่งประกอบธุรกิจยางมะตอย 24.33% บริษัท ทิปโก้ รีเทล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ Juice Bar ภายใต้ตราสินค้า Squeeze 75.5% (ทั้งทางตรงทางและทางอ้อม) และบริษัท ทิปโก้ ไบโอเท็ค จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรและสารสกัดจากพืช 100%



INET บวก 3.3% หุ้นเล็ก กำไรโต ปลอดหนี้ ปีนี้กลับมาปันผล


วันอังคารที่ 02 เมษายน 2556 เวลา 12:26:51 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ล่าสุด ณ เวลา 12.05 น. อยู่ที่ 3.76 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.30% มูลค่าการซื้อขาย 20.68 ล้านบาท ทั้งนี้ INET ดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคา 2.96 บาท และขึ้นไปสูงสุดที่ 3.84 บาท เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในวันนี้ (2 เม.ย.)
ขณะที่ล่าสุด บริษัทซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ 1.86 เท่า แต่เนื่องจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา INET ขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปี 53 ขาดทุนสุทธิ 12.71 ล้านบาท ปี 54 ขาดทุนสุทธิ 83.66 ล้านบาท และปี 55 ขาดทุนสุทธิ 1.9 ล้านบาท ทำให้ไม่สามารถหาค่า P/E ได้ โดย INET เป็น 1 ในหุ้นเล็กกำไรโตของบล.ฟินันเซีย ไซรัส และข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.00 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ว่า เรามองว่าแนวโน้มการเติบโตของ INET ยังเป็นขาขึ้นตามการเติบโตของตลาด IDC ครบวงจรและ Cloud Service โดยประมาณการกำไรสุทธิ 3 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยต่อปี 22% (CAGR ปี 2556-2558) นอกจากนี้ บริษัทมีสถานะปลอดหนี้ (debt free) และมีอัตราส่วนสภาพคล่องสูง 2-3 เท่า เราคาดว่าบริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลปี 2557 หุ้นละ 0.10 บาท และเพิ่มเป็นหุ้นละ 0.12 บาท ในปี 2558 หรือมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยต่อปี 3% ประเมินมูลค่าเหมาะสม 4.50 บาท แนะนำ“ซื้อ”
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (2 เม.ย.) ว่า ยังมีจังหวะในการซื้อสะสม ‘หุ้นเล็กกำไรโต ภาค 2’ ราคาหุ้นทั้ง 9 ตัวเมื่อวานนี้ เฉลี่ยแล้วปรับลง 0.9% จึงเป็นจังหวะดีในการทยอยสะสม ด้วย PE ที่ยังต่ำ กำไรเติบโตสูงเฉลี่ย 40% และราคาหุ้นยังเปิด upside กว้างถึงเฉลี่ยกว่า 30% หุ้นดังกล่าวได้แก่ CITY, INET, PM, PREB, PYLON, SCP, THANI, TKS, TTCL



AH วิ่งแล้ว 21.88% ลุ้นงบปีนี้ทำสถิติสูงสุด-รับผล ISUZU ขยายกำลังผลิต


วันอังคารที่ 02 เมษายน 2556 เวลา 10:36:05 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH ณ เวลา 10.18 น. อยู่ที่ระดับ 29.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 4.46% ราคาหุ้นปรับตัว 7 วัน ติด โดยนับตั้งแต่หุ้นอ่อนตัวลงมาที่ระดับ 24.00 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ล่าสุดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 21.88% ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 6 แห่งแนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ”ขาย”และอีก 1 แห่ง แนะนำให้ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 32.35 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (2 เม.ย. 56) แนะ"ซื้อ"หุ้น AH ให้ราคาเป้าหมาย 30.50 บาท มองหุ้นในกลุ่มยานยนต์ยังคงน่าสนใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดยเฉพาะ AH ที่ประเมินว่าผลประกอบการจะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในปี 2556 ที่ 887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เทียบปีก่อน โดยที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการที่ ISUZU มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 60%
นอกจากนี้ถ้าพิจารณาจากโอกาสที่จะได้รับค่าสินไหมประกันส่วนที่เหลือเข้า มาอีก 300-400 ล้านบาท มีความเป็นไปได้ที่กำไรสุทธิในปี 2556 อาจสูงกว่าที่คาดไว้ด้วย



Monday, April 1, 2013

ทรีนีตี้เปิด 5 กลุ่ม 10 หุ้นงบโตเด่น คาดปรับตัวดีกว่าตลาดในเดือนเม.ย.


วันจันทร์ที่ 01 เมษายน 2556 เวลา 16:33:46 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ในเดือนเม.ย.นี้ เรามองว่าหุ้นที่จะ Outperform ตลาด ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการโดดเด่น ได้แก่
1) หุ้นกลุ่มขนส่งที่คาดว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ได้แก่ BTS, TTA
2) หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ DEMCO, TPOLY
3) หุ้นกลุ่มสื่อสารที่ยังคงมี Upside ในระดับที่น่าสนใจ ได้แก่ DTAC, JAS
4) หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ CPF, PM, LH
5) หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ออกมาดี ได้แก่ ASP