วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 16:22:11 น.
ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) หรือ MLINK ณ เวลา 16.19 น.อยู่ที่ระดับ 5.40 บาท บวก 1.14 บาท
หรือ 26.76% โดยหุ้นปรับตัวแรงในรอบเกือบ 9 ปี
โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 5.45 บาท เมื่อวันที่ 29 เม.ย.
2547
บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุในวันนี้ 27 มี.ค. 2556 ว่า
ราคาหุ้น MLINKที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก
คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน
จากที่มีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการปีนี้ (2556) จะ Turnaround
โดยเฉพาะในส่วนธุรกิจโทรมือถือจะเป็นแรงดัน
นอกจากนี้ MLINK ก็ไม่เคยติดเกณฑ์ Cash Balance การเข้ามาเล่นเก็งกำไรจึงทำได้ง่ายกว่าตัวอื่น ทั้งนี้เพราะ MLINK มีผลกำไรมาโดยตลอด
Custom Search
Search This Blog
Wednesday, March 27, 2013
WORK บวก 4.17% ราคาหุ้นน่าสนใจ กระแสตอบรับทีวีดาวเที่ยมดีเกินคาด
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 12:04:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ณ เวลา 11.58 น. บวก 2 บาท หรือ 4.17% มาที่ 50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 48.34 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.09% ทั้งนี้ ราคาหุ้น WORK ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 47 บาท ในวันที่ 22 มี.ค.มาแตะที่ระดับราคา 50 บาท ในวันนี้ (RSI=50.77) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 6 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” WORK จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 55.86 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น WORK เทรดที่ P/E 30.53 เท่า และ P/BV 9.09 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (27 มี.ค.) ว่า เราปรับคำแนะนำ WORK เพิ่มขึ้น เป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และปรับมูลค่าที่เหมาะสมขึ้น 10% เป็น 55 บาท หลังการสัมภาษณ์กับ CFO ทำให้เราได้ปรับประมาณการขึ้นเนื่องจาก 1) รายการใหม่บน FTA TV 2) กระแสตอบรับจากทีวีผ่านดาวเทียมที่ดีกว่าคาด
นอกจากนี้ WORK ยังสนใจในการทำ Digital TV ซึ่งเรายังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา ประกอบกับราคาที่ลดลง 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ WORK มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ในช่วงไตรมาส 2/56 WORK จะมีรายการทีวีใหม่ 2 รายการโดยรายการแรกเป็นรายการสำหรับเด็ก ซึ่งจะออกอากาศเฉลี่ย 1,435 นาที/สัปดาห์ (เพิ่มขึ้น 34% จากปี 55) และอีกรายการขึ้นอยู่กับต้นทุนในการผลิตรายการ โดยจะมีต้นทุนประมาณ 180 ล้านบาท และจะรู้ผลในช่วงไตรมาส 2-3/56
ด้านผู้บริหาร เปิดเผยว่า ไม่มีกระแสต่อต้านรุนแรงจากผู้โฆษณาหลังจากที่ WORK ปรับขึ้นราคากว่า 60% สำหรับโฆษณาในช่องทีวีผ่านดาวเทียม ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ และ WORK ได้เปิดช่องสำหรับเด็กที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก โดยจะเริ่มหารายได้จากโฆษณาในเร็วๆ นี้ และมีแผนที่จะเปิดช่องใหม่ในช่วงท้ายปี 56 หรือในช่วงปีหน้า
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (27 มี.ค.) ว่า ทางบอร์ด กสท. แถลงการออก license ทีวีดิจิตอล 12 ช่อง โดยจัดสรรให้รายเดิม 4 ช่อง ออกคู่ขนานกับระบบ analog เดิม และมีการเปิดให้รายใหม่ยืนขอ license เพิ่มเติมได้อีก 8 ช่อง โดยมีอายุ 4 ปี คาดช่วงเวลาในการยืนขอ license ในเดือน เม.ย.-พ.ค. 13 และจะสามารถแจกใบอนุญาตได้ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 56 เราคาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทใหม่ๆ ที่โอกาสในการเข้าประมูล ซึ่งจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ บวกต่อ WORK, RS, NMG, INTUCH, GRAMMY เราแนะนำ WORK เด่นสุด
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ณ เวลา 11.58 น. บวก 2 บาท หรือ 4.17% มาที่ 50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 48.34 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.09% ทั้งนี้ ราคาหุ้น WORK ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 47 บาท ในวันที่ 22 มี.ค.มาแตะที่ระดับราคา 50 บาท ในวันนี้ (RSI=50.77) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 6 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” WORK จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 55.86 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น WORK เทรดที่ P/E 30.53 เท่า และ P/BV 9.09 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (27 มี.ค.) ว่า เราปรับคำแนะนำ WORK เพิ่มขึ้น เป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และปรับมูลค่าที่เหมาะสมขึ้น 10% เป็น 55 บาท หลังการสัมภาษณ์กับ CFO ทำให้เราได้ปรับประมาณการขึ้นเนื่องจาก 1) รายการใหม่บน FTA TV 2) กระแสตอบรับจากทีวีผ่านดาวเทียมที่ดีกว่าคาด
นอกจากนี้ WORK ยังสนใจในการทำ Digital TV ซึ่งเรายังไม่ได้รวมในประมาณการของเรา ประกอบกับราคาที่ลดลง 11% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ WORK มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ในช่วงไตรมาส 2/56 WORK จะมีรายการทีวีใหม่ 2 รายการโดยรายการแรกเป็นรายการสำหรับเด็ก ซึ่งจะออกอากาศเฉลี่ย 1,435 นาที/สัปดาห์ (เพิ่มขึ้น 34% จากปี 55) และอีกรายการขึ้นอยู่กับต้นทุนในการผลิตรายการ โดยจะมีต้นทุนประมาณ 180 ล้านบาท และจะรู้ผลในช่วงไตรมาส 2-3/56
ด้านผู้บริหาร เปิดเผยว่า ไม่มีกระแสต่อต้านรุนแรงจากผู้โฆษณาหลังจากที่ WORK ปรับขึ้นราคากว่า 60% สำหรับโฆษณาในช่องทีวีผ่านดาวเทียม ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ และ WORK ได้เปิดช่องสำหรับเด็กที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก โดยจะเริ่มหารายได้จากโฆษณาในเร็วๆ นี้ และมีแผนที่จะเปิดช่องใหม่ในช่วงท้ายปี 56 หรือในช่วงปีหน้า
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (27 มี.ค.) ว่า ทางบอร์ด กสท. แถลงการออก license ทีวีดิจิตอล 12 ช่อง โดยจัดสรรให้รายเดิม 4 ช่อง ออกคู่ขนานกับระบบ analog เดิม และมีการเปิดให้รายใหม่ยืนขอ license เพิ่มเติมได้อีก 8 ช่อง โดยมีอายุ 4 ปี คาดช่วงเวลาในการยืนขอ license ในเดือน เม.ย.-พ.ค. 13 และจะสามารถแจกใบอนุญาตได้ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 56 เราคาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทใหม่ๆ ที่โอกาสในการเข้าประมูล ซึ่งจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ บวกต่อ WORK, RS, NMG, INTUCH, GRAMMY เราแนะนำ WORK เด่นสุด
กูรูเชียร์เก็บ TTA ปีนี้พลิกกำไร-มีลุ้นปันผล "เมอร์เมด" หนุนระยะยาว
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 11:57:59 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 11.56 น. บวก 0.60 บาท หรือ 3.41% มาที่ 18.20 บาท สูงสุดที่ 18.30 บาท ต่ำสุดที่ 17.90 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 186.11 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องหลังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 19.60 บาท แตะระดับต่ำสุดที่ 16.30 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 18.00 บาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 5 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 23.56 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.12%
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ (27 มี.ค.) แนะนำ TTA เป็นหนึ่งในกลุ่ม Turnaround และเหมาะสำหรับการซื้อต่อยอดสะสมระยะกลาง โดยระบุว่าธุรกิจให้เช่าเรือขุดเจาะ (AOD) ได้สัญญาเช่าครบทั้ง 3 ลำ โดยจะทยอยรับมอบเรือทั้ง 3 ลำในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจเดินเรืออยู่ใกล้จุดต่ำสุด ส่วนธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำและการให้เช่าเรือขุดเจาะคาดว่าจะสามารถทำให้กำไร สุทธิโดยรวมเริ่มกลับมาเป็นบวกได้อย่างช้าที่สุดในไตรมาส 2/56 ขณะที่ดัชนี BDI เริ่มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.87x PBV ทั้งนี้ให้เป้าระยะสั้น 20.00 บาท และขายเมื่อหลุด 16.30 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (25 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อลงทุน" TTA โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 56-57 ไว้ที่ 190 ล้านบาท และ 764 ล้านบาท ขณะที่เชื่อว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรได้ในปี 56 และยังได้แรงหนุนรายได้จากธุรกิจวิศวกรรมใต้ทะเลของเมอร์เมด ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้คาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผล (นโยบายที่ 25%) ในปี 56 เป็นต้นไป เบื้องต้นคาดไว้ที่ 0.10 บาท นอกจากนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงเทรดที่ PBV 0.77x ซึ่งตำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 0.91x ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 26.50 บาท
ขณะที่วานนี้ (26 มี.ค.) ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว TTA ที่ "BBB(tha)" โดยให้แนวโน้มมีเสถียรภาพ
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 11.56 น. บวก 0.60 บาท หรือ 3.41% มาที่ 18.20 บาท สูงสุดที่ 18.30 บาท ต่ำสุดที่ 17.90 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 186.11 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องหลังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 19.60 บาท แตะระดับต่ำสุดที่ 16.30 บาท เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 18.00 บาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 5 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 23.56 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.12%
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ (27 มี.ค.) แนะนำ TTA เป็นหนึ่งในกลุ่ม Turnaround และเหมาะสำหรับการซื้อต่อยอดสะสมระยะกลาง โดยระบุว่าธุรกิจให้เช่าเรือขุดเจาะ (AOD) ได้สัญญาเช่าครบทั้ง 3 ลำ โดยจะทยอยรับมอบเรือทั้ง 3 ลำในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจเดินเรืออยู่ใกล้จุดต่ำสุด ส่วนธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำและการให้เช่าเรือขุดเจาะคาดว่าจะสามารถทำให้กำไร สุทธิโดยรวมเริ่มกลับมาเป็นบวกได้อย่างช้าที่สุดในไตรมาส 2/56 ขณะที่ดัชนี BDI เริ่มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.87x PBV ทั้งนี้ให้เป้าระยะสั้น 20.00 บาท และขายเมื่อหลุด 16.30 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (25 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อลงทุน" TTA โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ ปี 56-57 ไว้ที่ 190 ล้านบาท และ 764 ล้านบาท ขณะที่เชื่อว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรได้ในปี 56 และยังได้แรงหนุนรายได้จากธุรกิจวิศวกรรมใต้ทะเลของเมอร์เมด ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้คาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผล (นโยบายที่ 25%) ในปี 56 เป็นต้นไป เบื้องต้นคาดไว้ที่ 0.10 บาท นอกจากนี้ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงเทรดที่ PBV 0.77x ซึ่งตำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 0.91x ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 26.50 บาท
ขณะที่วานนี้ (26 มี.ค.) ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว TTA ที่ "BBB(tha)" โดยให้แนวโน้มมีเสถียรภาพ
INTUCH รีบาวด์ 3 วันติด กูรูเชื่อลงทุนดิจิตตอลทีวีจะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 11:24:18 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ณ เวลา 11.16 น.อยู่ที่ระดับ 80.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 2.23% ราคาหุ้นรีบาวด์ 3 วันติด หลังจากที่อ่อนตัวลงแรงในช่วงสัปดาห์ก่อน ขณะที่ข้อมูลเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 87.38 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ 27 มี.ค. 2556 ว่า แนะ"ซื้อ"หุ้น INTUCH ให้ราคาเป้าหมาย 86.5 บาท เนื่องจากผู้บริหาร INTUCH เผยว่าเตรียมประมูลช่องรายการดิจิตอลทีวี 2 ช่องรายการ (ลดจากเป้าเดิม 3 ช่องรายการ) คือ ช่องรายการเด็ก และช่องรายการทั่วไป โดยคาดจะใช้เงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะสร้างมูลเพิ่มในอนาคตได้
ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการปัจจุบัน ยังไม่ได้รวมการลงทุนดังกล่าว เพราะรอความชัดเจนหลักเกณฑ์การประมูล พบว่ายังมี Upside 10% และมีเงินปันผลจ่ายอีก 1.88 บาท คิดเป็น Div Yield 2.4% (ขึ้น XD วันที่ 3 เม.ย. 56)
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ณ เวลา 11.16 น.อยู่ที่ระดับ 80.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 2.23% ราคาหุ้นรีบาวด์ 3 วันติด หลังจากที่อ่อนตัวลงแรงในช่วงสัปดาห์ก่อน ขณะที่ข้อมูลเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 87.38 บาท
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ 27 มี.ค. 2556 ว่า แนะ"ซื้อ"หุ้น INTUCH ให้ราคาเป้าหมาย 86.5 บาท เนื่องจากผู้บริหาร INTUCH เผยว่าเตรียมประมูลช่องรายการดิจิตอลทีวี 2 ช่องรายการ (ลดจากเป้าเดิม 3 ช่องรายการ) คือ ช่องรายการเด็ก และช่องรายการทั่วไป โดยคาดจะใช้เงินลงทุนราว 2 พันล้านบาท เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะสร้างมูลเพิ่มในอนาคตได้
ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการปัจจุบัน ยังไม่ได้รวมการลงทุนดังกล่าว เพราะรอความชัดเจนหลักเกณฑ์การประมูล พบว่ายังมี Upside 10% และมีเงินปันผลจ่ายอีก 1.88 บาท คิดเป็น Div Yield 2.4% (ขึ้น XD วันที่ 3 เม.ย. 56)
KMC ยันเป้าปีนี้รายได้ 1.5 พันลบ. ผุดคอนโดฯใหม่ 1.1 พันลบ.รับรู้ปีนี้
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 11:10:58 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในปี 56 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท จากเดิมตั้งเป้า 1 พันล้านบาท หลังจากได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra พระราม 9 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท หลังได้เทกโอเวอร์คอนโดมิเนียมดังกล่าวจากแบรนด์ Classe ของกลุ่มวิฑูร ธนากร ซึ่งหากขายได้ทั้งหมดก็จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ จำนวน 1.1 พันล้านบาท เพราะเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ยังมีที่ดินเปล่าในพื้นที่ดังกล่าวที่เตรียมขยายโครงการในปี 57 จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมขายในปี 58 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับคอนโดมิเนียม The Kris Extra พระราม 9 อยู่บนเนื้อที่ 8 ไร่ในทำเลถนนพระราม 9 ราคาขายเริ่มต้น 5.5 หมื่นบาท/ตรม. หรือยูนิตละ 1.49 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร จำนวน 459 ยูนิต
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในปี 56 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท จากเดิมตั้งเป้า 1 พันล้านบาท หลังจากได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra พระราม 9 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท หลังได้เทกโอเวอร์คอนโดมิเนียมดังกล่าวจากแบรนด์ Classe ของกลุ่มวิฑูร ธนากร ซึ่งหากขายได้ทั้งหมดก็จะสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ จำนวน 1.1 พันล้านบาท เพราะเป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ยังมีที่ดินเปล่าในพื้นที่ดังกล่าวที่เตรียมขยายโครงการในปี 57 จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมขายในปี 58 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับคอนโดมิเนียม The Kris Extra พระราม 9 อยู่บนเนื้อที่ 8 ไร่ในทำเลถนนพระราม 9 ราคาขายเริ่มต้น 5.5 หมื่นบาท/ตรม. หรือยูนิตละ 1.49 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร จำนวน 459 ยูนิต
ADVANC เปิดให้บริการ 3G บนคลื่นใหม่เชิงพาณิชย์ต้นพ.ค.นี้
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 10:26:58 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยว่า ในช่วงต้นพ.ค.นี้ เอไอเอส จะเปิดให้บริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz เชิงพาณิชย์ โดยในเดือน เม.ย.56 จะเปิดให้บริการแบบ soft lunch กันภายในบริษัท และลูกค้าในเขตกทม.
ทั้งนี้ การติดตั้งสถานีฐานในปีนี้ แบ่งเป็น 3 เฟส คือ เฟสแรกเสร็จในเดือน พ.ค.ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและ 17 เมืองใหญ่, เฟสที่สอง ครอบคลุมเพิ่มอีก 20 กว่าจังหวัดเป็นกว่า 40 จังหวัดในไตรมาส 3/56 และเฟส 3 ภายในสิ้นปี 56 ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด
บริษัทได้ส่งข้อความ(SMS) ให้ลูกค้าแจ้งความจำนงเพื่อรับบริการ 3G ระบบใหม่ ซึ่งจะทยอยแจ้งเข้ามาบริษัท โดยบริษัทจะต้องจัดการย้ายลูกค้าไปบริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และเป็นผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ 2.1 GHz แม้ว่าจะเป็นการย้ายในกลุ่มบริษัทเดียวกัน เพราะเป็นคนละนิติบุคคล ทั้งนี้จะใช้หลักการของนัมเบอร์พอร์ต ที่จะใช้เวลา 3 วันในการดำเนินการ และคาดว่าลูกค้าจะทำการย้ายระบบเกินกว่า 1 แสนราย/วัน
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมเลขหมายใหม่ไว้จำนวน 14 ล้านเลขหมายเพื่อรองรับลูกค้าใหม่ระบบ 3G คลื่นใหม่
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดเผยว่า ในช่วงต้นพ.ค.นี้ เอไอเอส จะเปิดให้บริการ 3G บนคลื่น 2.1 GHz เชิงพาณิชย์ โดยในเดือน เม.ย.56 จะเปิดให้บริการแบบ soft lunch กันภายในบริษัท และลูกค้าในเขตกทม.
ทั้งนี้ การติดตั้งสถานีฐานในปีนี้ แบ่งเป็น 3 เฟส คือ เฟสแรกเสร็จในเดือน พ.ค.ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและ 17 เมืองใหญ่, เฟสที่สอง ครอบคลุมเพิ่มอีก 20 กว่าจังหวัดเป็นกว่า 40 จังหวัดในไตรมาส 3/56 และเฟส 3 ภายในสิ้นปี 56 ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด
บริษัทได้ส่งข้อความ(SMS) ให้ลูกค้าแจ้งความจำนงเพื่อรับบริการ 3G ระบบใหม่ ซึ่งจะทยอยแจ้งเข้ามาบริษัท โดยบริษัทจะต้องจัดการย้ายลูกค้าไปบริษัท แอดวานซ์ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และเป็นผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ 2.1 GHz แม้ว่าจะเป็นการย้ายในกลุ่มบริษัทเดียวกัน เพราะเป็นคนละนิติบุคคล ทั้งนี้จะใช้หลักการของนัมเบอร์พอร์ต ที่จะใช้เวลา 3 วันในการดำเนินการ และคาดว่าลูกค้าจะทำการย้ายระบบเกินกว่า 1 แสนราย/วัน
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมเลขหมายใหม่ไว้จำนวน 14 ล้านเลขหมายเพื่อรองรับลูกค้าใหม่ระบบ 3G คลื่นใหม่
DEMCO ขึ้นรอบใหม่บวก 3.23% กูรูมองรอประกาศงานสร้างโซลาร์ฟาร์มในเม.ย.
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 10:38:20 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO ณ เวลา 10.30 น. อยู่ที่ระดับ 16.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 3.23% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรอบใหม่ หลังจากสร้างฐานอย่างแข็งแกร่งบริเวณ 15.00 บาท ขณะที่ข้อมูลเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17.00 บาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ 27 มี.ค. 56 ว่า DEMCO เป็นหุ้นเด่นโดยเป้าสูงสุด Consensus อยู่ที่ 17 บาท โดยราคาหุ้นยังไม่รีบาวด์หลังลงแรงในสัปดาห์ก่อน ขณะที่หุ้นในกลุ่มอย่าง บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL , AI - บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI และ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR ที่รีบาวด์ขึ้นแรง 2 วันติดต่อกัน นอกจากนี้ DEMCO ยังรอประกาศงานก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มใหม่ขนาด 90 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาทในเดือน เม.ย.ด้วย
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO ณ เวลา 10.30 น. อยู่ที่ระดับ 16.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 3.23% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรอบใหม่ หลังจากสร้างฐานอย่างแข็งแกร่งบริเวณ 15.00 บาท ขณะที่ข้อมูลเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17.00 บาท
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ 27 มี.ค. 56 ว่า DEMCO เป็นหุ้นเด่นโดยเป้าสูงสุด Consensus อยู่ที่ 17 บาท โดยราคาหุ้นยังไม่รีบาวด์หลังลงแรงในสัปดาห์ก่อน ขณะที่หุ้นในกลุ่มอย่าง บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL , AI - บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI และ บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR ที่รีบาวด์ขึ้นแรง 2 วันติดต่อกัน นอกจากนี้ DEMCO ยังรอประกาศงานก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มใหม่ขนาด 90 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาทในเดือน เม.ย.ด้วย
Tuesday, March 26, 2013
ตลท.เผยโบรกฯคล้อยตามใช้เกณฑ์เพิ่มหลักประกันเป็น 20% มีผล 2 พ.ค.
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 17:39:31 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) เห็นด้วยกับการเพิ่มหลักประกันเป็น 20% จากเดิม 15% ในบัญชีเงินสด ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น และป้องกันความเสี่ยงในเรื่องการชำระราคา โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.56
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) เห็นด้วยกับการเพิ่มหลักประกันเป็น 20% จากเดิม 15% ในบัญชีเงินสด ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น และป้องกันความเสี่ยงในเรื่องการชำระราคา โดยเกณฑ์ดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.56
กูรูให้เป้า TRUE เกิน 10 บ. เชื่อครึ่งปีแรก 56 ขาดทุนลดลง ระยะยาวมีปัจจัยบวกหนุน
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 12:40:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ปิดตลาดรอบเช้าบวก 0.10 จุด หรือ 1.27% มาที่ 7.95 บาท สูงสุดที่ 8.25 จุด ต่ำสุดที่ 7.75 จุด มูลค่าซื้อขายที่ 2.69 พันล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่งแนะนำ "ซื้อ", 1 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 9 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.94 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.5%
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" TRUE ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10.10 บาท โดยคาดว่าปัจจัยพื้นฐานของ TRUE จะดีขึ้นตามลำดับในปี 56 จากการโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G ระบบ 850 MHz ที่ทำได รวดเร็วขึ้น หลังได้รับอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กสท.อีกราว 5 ล้านหมายเลข รวมทั้งการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของ 3G บนคลื่น 2.1GHz ในไตรมาส 2/56 และจะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost โดยรวมลดลงจากเดิมที่ 25% เหลือต่ำกว่าระดับ 10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 56 มีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนในครึ่งปีหลังได้สำเร็จ นอกจากนี้คาดว่าความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund และการหาพันธมิตรใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะยาว
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) ว่า ราคากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันและ 10 วัน/7.60 แนะนำ "ทยอยสะสมที่แนวรับ" โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 8.25 บาทซึ่งเป็นจุดสูงสุดก่อนหน้าหากผ่านไปได้ให้ซื้อตาม
ขณะที่บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) ว่า ราคาหุ้น TRUE ขึ้นตามจังหวะตลาด คาดว่าจะทดสอบแนวต้าน 8.00 บาท ทั้งนี้แนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 7.55, 7.4 บาท ส่วนแนวต้านที่ 8, 8.25 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ปิดตลาดรอบเช้าบวก 0.10 จุด หรือ 1.27% มาที่ 7.95 บาท สูงสุดที่ 8.25 จุด ต่ำสุดที่ 7.75 จุด มูลค่าซื้อขายที่ 2.69 พันล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่งแนะนำ "ซื้อ", 1 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 9 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.94 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.5%
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" TRUE ประเมินราคาเหมาะสมที่ 10.10 บาท โดยคาดว่าปัจจัยพื้นฐานของ TRUE จะดีขึ้นตามลำดับในปี 56 จากการโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G ระบบ 850 MHz ที่ทำได รวดเร็วขึ้น หลังได้รับอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กสท.อีกราว 5 ล้านหมายเลข รวมทั้งการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของ 3G บนคลื่น 2.1GHz ในไตรมาส 2/56 และจะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost โดยรวมลดลงจากเดิมที่ 25% เหลือต่ำกว่าระดับ 10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 56 มีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนในครึ่งปีหลังได้สำเร็จ นอกจากนี้คาดว่าความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund และการหาพันธมิตรใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะยาว
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) ว่า ราคากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันและ 10 วัน/7.60 แนะนำ "ทยอยสะสมที่แนวรับ" โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 8.25 บาทซึ่งเป็นจุดสูงสุดก่อนหน้าหากผ่านไปได้ให้ซื้อตาม
ขณะที่บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (26 มี.ค.) ว่า ราคาหุ้น TRUE ขึ้นตามจังหวะตลาด คาดว่าจะทดสอบแนวต้าน 8.00 บาท ทั้งนี้แนะนำ "ซื้อ" โดยให้แนวรับที่ 7.55, 7.4 บาท ส่วนแนวต้านที่ 8, 8.25 บาท
ซีออยล์ เตรียมขาย IPO 70 ล้านหุ้น เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน-ขยายธุรกิจ
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 10:48:10 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.ซีออยล์ ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 22 มี.ค.56 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยแบ่งเป็น 7.70 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษั่ท และบริษัทในกลุ่มของบริษัทแม่ ส่วนอีก 62.30 ล้านหุ้นเสนอขายให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ บริษัทฯจะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) และบริษัทฯมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยาย ธุรกิจ โดยมีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บมจ.ซีออยล์ ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจให้บริการในการจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่น ๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล(Supply Management)
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 55 มีรายได้รวม 2,700.85 ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นทั้งทาง ทะเลและทางบก ต้นทุนขายน้ำมัน 2,497.09 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขาย 36.34 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงิน 8.95 ล้านบาท กำไรสุทธิ 63.39 ล้านบาท ณ สิ้นปี 55 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 401.14 ล้านบาท หนี้สินรวม 178.38 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 222.76 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2555 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 110 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วบริษัทฯจะมีทุนที่ออกและชำระแล้วเพิ่มเป็น 180 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ม.ค.56 ได้แก่ บริษัท นทลิน จำกัด ถือหุ้น 84,999,800 หุ้นหรือคิดเป็น 77.27% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 47.22% ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกเภทตามกฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.ซีออยล์ ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 22 มี.ค.56 เนื่องจากบริษัทฯจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยแบ่งเป็น 7.70 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษั่ท และบริษัทในกลุ่มของบริษัทแม่ ส่วนอีก 62.30 ล้านหุ้นเสนอขายให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ บริษัทฯจะนำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) และบริษัทฯมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยาย ธุรกิจ โดยมีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บมจ.ซีออยล์ ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจให้บริการในการจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่น ๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล(Supply Management)
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 55 มีรายได้รวม 2,700.85 ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นทั้งทาง ทะเลและทางบก ต้นทุนขายน้ำมัน 2,497.09 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขาย 36.34 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงิน 8.95 ล้านบาท กำไรสุทธิ 63.39 ล้านบาท ณ สิ้นปี 55 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 401.14 ล้านบาท หนี้สินรวม 178.38 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 222.76 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2555 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 110 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วบริษัทฯจะมีทุนที่ออกและชำระแล้วเพิ่มเป็น 180 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ม.ค.56 ได้แก่ บริษัท นทลิน จำกัด ถือหุ้น 84,999,800 หุ้นหรือคิดเป็น 77.27% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 47.22% ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกเภทตามกฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท
TIPCO สูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯ กูรูแนะเก็งกำไรผลงานปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัว
วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2556 เวลา 10:32:12 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) TIPCO ณ เวลา 10.27 น.11.30 บาท บวก 2.30 บาท หรือ 25.56% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2545
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (26 มี.ค. 56) ว่า แนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น TIPCO ผลการดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ มีมาร์จิ้นสูงในกลุ่มน้ำแร่น้ำผลไม้ 100% และแผนขยายตลาดเอเชียต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มเสี่ยเจริญสนใจซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ขณะที่บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (26 มี.ค. 56) ว่า มีข่าวลือเสี่ยเจริญเทคโอเวอร์
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) TIPCO ณ เวลา 10.27 น.11.30 บาท บวก 2.30 บาท หรือ 25.56% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2545
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (26 มี.ค. 56) ว่า แนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น TIPCO ผลการดำเนินงานปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ มีมาร์จิ้นสูงในกลุ่มน้ำแร่น้ำผลไม้ 100% และแผนขยายตลาดเอเชียต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มเสี่ยเจริญสนใจซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ขณะที่บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (26 มี.ค. 56) ว่า มีข่าวลือเสี่ยเจริญเทคโอเวอร์
Monday, March 25, 2013
TRUE บวก2% วันศุกร์ NVDR ซื้อสูงถึง 269 ลบ. ปัจจัยพื้นฐานดี เข้าสู่จุดคุ้มทุน 2H56
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2556 เวลา 10:33:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 10.25 น. บวก 0.15 บาท หรือ 2.03% มาที่ 7.55 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 527.78 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.06% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TRUE ทรงตัวที่ระดับราคา 7.75 บาท ในวันที่ 19-20 ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.80 บาท ในวันที่ 21 มี.ค. เมื่อมีแรงเทขายเข้ามาทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาแตะที่ระดับราคา 7.40 บาท ในวันที่ 22 มี.ค. หลังจากนั้นราคาก็ขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.55 บาท ในวันนี้ (RSI=60.29) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TRUE จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 9 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.94 บาท ซึ่งปัจจุบัน TRUE เทรดที่ P/BV 8.04 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (25 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น TRUE โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 10.10 บาท เนื่องจากเราประเมินว่าหุ้น High Beta มีแนวโน้ม Rebound ขึ้นได้ดีกว่าตลาด เมื่อ SET INDEX เข้าสู่การฟื้นตัว โดย TRUE มี Beta ที่ 1.1 เท่า เทียบกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC 0.7 เท่า และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC 0.4 เท่า และราคาหุ้นมี Sentiment เชิงบวก หลัง NVDR รายงานซื้อสุทธิหุ้น TRUE เป็นอันดับ 2 สูงถึง 269 ล้านบาท ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของ TRUE คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับในปี 56 จากการโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G ระบบ 850 MHz ที่ทำได้รวดเร็วขึ้น หลังได้รับอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กสท อีกราว 5 ล้านหมายเลข รวมทั้งการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของ 3G บนคลื่น 2.1GHz ในช่วง 2Q56 และจะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost โดยรวมลดลงจากเดิมที่ 25% เหลือต่ำกว่าระดับ 10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ดังนั้น เราคาดว่าผลประกอบการครึ่งแรกปี 56 มีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนในครึ่งหลังปี 56 ได้สำเร็จ และคาดว่าความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund และการหาพันธมิตรใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะยาว
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 10.25 น. บวก 0.15 บาท หรือ 2.03% มาที่ 7.55 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 527.78 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.06% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TRUE ทรงตัวที่ระดับราคา 7.75 บาท ในวันที่ 19-20 ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.80 บาท ในวันที่ 21 มี.ค. เมื่อมีแรงเทขายเข้ามาทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาแตะที่ระดับราคา 7.40 บาท ในวันที่ 22 มี.ค. หลังจากนั้นราคาก็ขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.55 บาท ในวันนี้ (RSI=60.29) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TRUE จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 9 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.94 บาท ซึ่งปัจจุบัน TRUE เทรดที่ P/BV 8.04 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (25 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น TRUE โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 10.10 บาท เนื่องจากเราประเมินว่าหุ้น High Beta มีแนวโน้ม Rebound ขึ้นได้ดีกว่าตลาด เมื่อ SET INDEX เข้าสู่การฟื้นตัว โดย TRUE มี Beta ที่ 1.1 เท่า เทียบกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC 0.7 เท่า และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC 0.4 เท่า และราคาหุ้นมี Sentiment เชิงบวก หลัง NVDR รายงานซื้อสุทธิหุ้น TRUE เป็นอันดับ 2 สูงถึง 269 ล้านบาท ในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของ TRUE คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับในปี 56 จากการโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G ระบบ 850 MHz ที่ทำได้รวดเร็วขึ้น หลังได้รับอนุมัติเลขหมายใหม่จาก กสท อีกราว 5 ล้านหมายเลข รวมทั้งการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของ 3G บนคลื่น 2.1GHz ในช่วง 2Q56 และจะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost โดยรวมลดลงจากเดิมที่ 25% เหลือต่ำกว่าระดับ 10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ดังนั้น เราคาดว่าผลประกอบการครึ่งแรกปี 56 มีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนในครึ่งหลังปี 56 ได้สำเร็จ และคาดว่าความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund และการหาพันธมิตรใหม่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะยาว
BTS บวก 1.14% ตามกูรูมองบวกประสบผลสำเร็จขายกองทุน BTSGIF
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2556 เวลา 10:59:46 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 10.58 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.14% หุ้นปรับตัวแรงรอบใหม่ หลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 3แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.83 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ 25 มี.ค. 56 ว่า แนะนำ"ซื้อ" หุ้น BTS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.28 บาท ข้อดีคือ การประสบความสำเร็จในการ ขายรายได้ไปยังกองทุนสาธารณูปโภค BTSGIF ทำให้มีกำไรก้อนโตเข้ามายังบริษัท ตามที่คาดไว้คือ 1.78 หมื่นล้านบาท และจะมีเงินปันผลพิเศษที่ 0.79 บาท คิดเป็น อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากถึง 9% ยังไม่นับรวมเงินปันผลจากการดำเนินงานงวด ปี 56-57 อีก
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BTS กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เรื่องการจ่ายปันผลพิเศษนั้น คงต้องนำเข้าหารือกับคณะกรรมการบริษัทก่อน เพราะ เท่าที่ทราบก็มีความคาดหวังว่า บริษัทจะจ่ายปันผลพิเศษ ซึ่งต้องมาพิจารณาว่า จะ ใช้การจ่ายปันผลพิเศษ หรือใช้วิธีอื่น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น
ดีบีเอสฯ ยังระบุว่า ในระยะสั้นอาจจะยังมีแรงขายจากหุ้นใหม่ ที่มีการ แปลงสภาพจากหุ้นกู้แปลงสภาพ เข้ามาซื้อขายครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันพรุ่งนี้ แต่ก็จะช่วยลดแรงขายจากหุ้นที่มีต้นทุนในการแปลงสภาพต่ำ ที่เคยมารบกวนตลอดเวลา
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 10.58 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.14% หุ้นปรับตัวแรงรอบใหม่ หลังจากปรับตัวลงแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 3แห่ง แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.83 บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ 25 มี.ค. 56 ว่า แนะนำ"ซื้อ" หุ้น BTS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.28 บาท ข้อดีคือ การประสบความสำเร็จในการ ขายรายได้ไปยังกองทุนสาธารณูปโภค BTSGIF ทำให้มีกำไรก้อนโตเข้ามายังบริษัท ตามที่คาดไว้คือ 1.78 หมื่นล้านบาท และจะมีเงินปันผลพิเศษที่ 0.79 บาท คิดเป็น อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงมากถึง 9% ยังไม่นับรวมเงินปันผลจากการดำเนินงานงวด ปี 56-57 อีก
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BTS กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เรื่องการจ่ายปันผลพิเศษนั้น คงต้องนำเข้าหารือกับคณะกรรมการบริษัทก่อน เพราะ เท่าที่ทราบก็มีความคาดหวังว่า บริษัทจะจ่ายปันผลพิเศษ ซึ่งต้องมาพิจารณาว่า จะ ใช้การจ่ายปันผลพิเศษ หรือใช้วิธีอื่น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น
ดีบีเอสฯ ยังระบุว่า ในระยะสั้นอาจจะยังมีแรงขายจากหุ้นใหม่ ที่มีการ แปลงสภาพจากหุ้นกู้แปลงสภาพ เข้ามาซื้อขายครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันพรุ่งนี้ แต่ก็จะช่วยลดแรงขายจากหุ้นที่มีต้นทุนในการแปลงสภาพต่ำ ที่เคยมารบกวนตลอดเวลา
Friday, March 22, 2013
ซีออยล์ยื่นไฟลิ่ง ขายไอพีโอ 70 ล้านหุ้น เทรดตลาด mai
วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2556 เวลา 16:33:11 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นางสาวนีรชา ปานบุญห้อม กรรมการบริหาร บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ โดยมีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท บริษัทประกอบธุรกิจ 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ให้แก่ลูกค้าทั้งทางทะเลและทางบก และธุรกิจจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล (Supply Management)
โดยธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งจัดจำหน่ายน้ำมัน 2 ประเภท ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และน้ำมันเบนซิน เป็นต้น และน้ำมันหล่อลื่น ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ น้ำมันเกียร์ เป็นต้น บริษัทฯ จะสั่งซื้อน้ำมันจากผู้ผลิต/ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ อาทิ ปตท. บางจาก เชลล์ เชฟรอน ไออาร์พีซี ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า น้ำมันที่บริษัทจัดจำหน่ายเป็นน้ำมันที่ได้มาตรฐานสากล
สำหรับลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าทางทะเลที่เป็นผู้ใช้น้ำมันโดย ตรงและพ่อค้าคนกลาง เช่น เรือเดินทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เรือบรรทุกสินค้า เรือรบ เรือโดยสาร เรือบริวารแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ และเรือทุกประเภททั่วทุกภูมิภาค ส่วนลูกค้าทางบก ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจรถขนส่ง ธุรกิจรถโดยสารให้บริการ เป็นต้น
ด้านธุรกิจจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัทแบ่งการให้บริการออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การให้บริการจัดอาหาร ทำความสะอาด และซักรีดให้แก่พนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทยที่พักอาศัย อยู่บนเรือพักอาศัย และแท่นพักอาศัยในทะเล (Catering and Service) และการให้บริการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในการเตรียมอาหาร จัดหาเสบียง และบริการอื่นๆ (General Supply) เช่น น้ำ อาหาร วัสดุสิ้นเปลือง เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น ให้กับเรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล
นางสาวนีรชา กล่าวต่อว่า บริษัทมีความต้องการและพร้อมที่จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากต้องการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการ ขยายการดำเนินธุรกิจ และเพื่อให้บริษัทเป็นที่รู้จักให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ารวมถึงผู้ลงทุนที่จะเข้ามาลง ทุนร่วมกับบริษัทฯ ว่าบริษัท ซีออยล์ เป็นบริษัทที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทัดเทียมกับบริษัทอื่น
นางศรัณยา กระแสเศียร กรรมการบริหาร บริษัท เซจ แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากยื่นไฟลิ่งแล้วขั้นตอนต่อไปคงต้องขึ้นอยู่กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าจะอนุมัติได้ในช่วงใด ซึ่งการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ในครั้งนี้จะกระจายหุ้นทั้งสิ้น 70 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเสนอขายให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทและบริษัทในกลุ่มของบริษัท แม่จำนวน 7.70 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.28% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ สำหรับส่วนที่สองเสนอขายให้แก่ประชาชน จำนวนประมาณ 62.30 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.61% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00บาทต่อหุ้น ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนใน การขยายธุรกิจต่อไป
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นางสาวนีรชา ปานบุญห้อม กรรมการบริหาร บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ โดยมีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้ บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท บริษัทประกอบธุรกิจ 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ให้แก่ลูกค้าทั้งทางทะเลและทางบก และธุรกิจจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล (Supply Management)
โดยธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งจัดจำหน่ายน้ำมัน 2 ประเภท ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา และน้ำมันเบนซิน เป็นต้น และน้ำมันหล่อลื่น ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ น้ำมันเกียร์ เป็นต้น บริษัทฯ จะสั่งซื้อน้ำมันจากผู้ผลิต/ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ อาทิ ปตท. บางจาก เชลล์ เชฟรอน ไออาร์พีซี ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า น้ำมันที่บริษัทจัดจำหน่ายเป็นน้ำมันที่ได้มาตรฐานสากล
สำหรับลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าทางทะเลที่เป็นผู้ใช้น้ำมันโดย ตรงและพ่อค้าคนกลาง เช่น เรือเดินทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เรือบรรทุกสินค้า เรือรบ เรือโดยสาร เรือบริวารแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ และเรือทุกประเภททั่วทุกภูมิภาค ส่วนลูกค้าทางบก ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจรถขนส่ง ธุรกิจรถโดยสารให้บริการ เป็นต้น
ด้านธุรกิจจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ แก่ที่พักอาศัยในทะเล เรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัทแบ่งการให้บริการออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การให้บริการจัดอาหาร ทำความสะอาด และซักรีดให้แก่พนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทยที่พักอาศัย อยู่บนเรือพักอาศัย และแท่นพักอาศัยในทะเล (Catering and Service) และการให้บริการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้ในการเตรียมอาหาร จัดหาเสบียง และบริการอื่นๆ (General Supply) เช่น น้ำ อาหาร วัสดุสิ้นเปลือง เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น ให้กับเรือเดินทะเล และแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในทะเล
นางสาวนีรชา กล่าวต่อว่า บริษัทมีความต้องการและพร้อมที่จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากต้องการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการ ขยายการดำเนินธุรกิจ และเพื่อให้บริษัทเป็นที่รู้จักให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ารวมถึงผู้ลงทุนที่จะเข้ามาลง ทุนร่วมกับบริษัทฯ ว่าบริษัท ซีออยล์ เป็นบริษัทที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทัดเทียมกับบริษัทอื่น
นางศรัณยา กระแสเศียร กรรมการบริหาร บริษัท เซจ แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากยื่นไฟลิ่งแล้วขั้นตอนต่อไปคงต้องขึ้นอยู่กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าจะอนุมัติได้ในช่วงใด ซึ่งการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ในครั้งนี้จะกระจายหุ้นทั้งสิ้น 70 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเสนอขายให้กรรมการและผู้บริหารของบริษัทและบริษัทในกลุ่มของบริษัท แม่จำนวน 7.70 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 4.28% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ สำหรับส่วนที่สองเสนอขายให้แก่ประชาชน จำนวนประมาณ 62.30 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.61% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00บาทต่อหุ้น ซึ่งเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนใน การขยายธุรกิจต่อไป
Thursday, March 21, 2013
N-PARK พุ่ง 10% มูลค่าการซื้อขายทะลัก สัญญาณทางเทคนิคแกว่งตัวขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556 เวลา 11:55:00 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือ N-PARK ณ เวลา 11.50 น. บวก 0.02 บาท หรือ 10% มาที่ 0.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 1,185.46 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.18% ทั้งนี้ ราคาหุ้น N-PARK ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกจากระดับราคา 0.20 บาท วานนี้ (20 มี.ค.) มาแตะที่ระดับราคา 0.22 บาท ในวันนี้ โดยปัจจุบันราคาหุ้น N-PARK เทรดที่ P/E 35.55 เท่า และ P/BV 14.53 เท่า
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 มี.ค.) ว่า สัญญาณทางเทคนิค N-PARK แกว่งตัวขึ้น โดยทะลุ 0.17 บาท แนว โน้มขาขึ้น ลักษณะราคาซิกแซกพ้นช่วงแกว่งแคบ ด้วยการขึ้นทะลุผ่าน 0.17 บาท เป็นสัญญาณซื้อ จังหวะพักตัวเล็กน้อยไม่หลุด 0.17 บาท และบวกวานนี้ ทำให้เป็นหุ้นแข็งแกร่งกว่ากลุ่ม และคาดว่าจะทดสอบแนวต้านระยะกลางที่ 0.26 บาท เป็นจุดขายทำกำไร
ขณะที่ เป้าหมายสำคัญที่ 0.25-0.26 บาท จังหวะ ที่ราคาหุ้นแตะแนวต้านที่ 0.21 บาท คาดว่าราคาจะพักตัวลงเล็กน้อย โดยที่ยังคงมีโอกาสทะลุผ่านแนวต้านได้ เป็นโอกาสซื้อตาม และรอขายที่เป้าหมาย 0.26 บาท
ด้าน นายประชา มาลีนนท์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า การจะเข้าถือ N-PARK ในระดับ 24.9% นับว่าเป็นระดับเหมาะสมแล้ว โดยคาดว่าจะเข้าซื้อหุ้นได้ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น NPARK อนุมัติแล้ว โดย N-PARK อยู่ระหว่างการจะเพิ่มทุน โดยส่วนหนึ่งจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 53.5 ล้านหุ้น ให้กับกลุ่มนายประชา มาลีนนท์ และรายอื่น ขณะที่คาดว่าการซื้อหุ้น N-PARK ของกลุ่มมาลีนนท์นั้นจะใช้เงินประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินสด และเงินกู้ยืมบางส่วน
โดยเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้ถือหุ้น N-PARK เข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติให้เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 5.35 หมื่นล้านหุ้น ให้แก่นายประชา มาลีนนท์ ,นายศานติ ประนิช และนายฟิลิปวีระ บุนนาค และส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น N-PARK ในช่วงบ่ายจนราคาปรับตัวตัวขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% (ซิลลิง) ปิดที่ 0.19 บาท บวก 0.04 บาทด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 2,150 ล้านบาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) หรือ N-PARK ณ เวลา 11.50 น. บวก 0.02 บาท หรือ 10% มาที่ 0.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 1,185.46 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.18% ทั้งนี้ ราคาหุ้น N-PARK ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกจากระดับราคา 0.20 บาท วานนี้ (20 มี.ค.) มาแตะที่ระดับราคา 0.22 บาท ในวันนี้ โดยปัจจุบันราคาหุ้น N-PARK เทรดที่ P/E 35.55 เท่า และ P/BV 14.53 เท่า
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 มี.ค.) ว่า สัญญาณทางเทคนิค N-PARK แกว่งตัวขึ้น โดยทะลุ 0.17 บาท แนว โน้มขาขึ้น ลักษณะราคาซิกแซกพ้นช่วงแกว่งแคบ ด้วยการขึ้นทะลุผ่าน 0.17 บาท เป็นสัญญาณซื้อ จังหวะพักตัวเล็กน้อยไม่หลุด 0.17 บาท และบวกวานนี้ ทำให้เป็นหุ้นแข็งแกร่งกว่ากลุ่ม และคาดว่าจะทดสอบแนวต้านระยะกลางที่ 0.26 บาท เป็นจุดขายทำกำไร
ขณะที่ เป้าหมายสำคัญที่ 0.25-0.26 บาท จังหวะ ที่ราคาหุ้นแตะแนวต้านที่ 0.21 บาท คาดว่าราคาจะพักตัวลงเล็กน้อย โดยที่ยังคงมีโอกาสทะลุผ่านแนวต้านได้ เป็นโอกาสซื้อตาม และรอขายที่เป้าหมาย 0.26 บาท
ด้าน นายประชา มาลีนนท์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ว่า การจะเข้าถือ N-PARK ในระดับ 24.9% นับว่าเป็นระดับเหมาะสมแล้ว โดยคาดว่าจะเข้าซื้อหุ้นได้ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น NPARK อนุมัติแล้ว โดย N-PARK อยู่ระหว่างการจะเพิ่มทุน โดยส่วนหนึ่งจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 53.5 ล้านหุ้น ให้กับกลุ่มนายประชา มาลีนนท์ และรายอื่น ขณะที่คาดว่าการซื้อหุ้น N-PARK ของกลุ่มมาลีนนท์นั้นจะใช้เงินประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากเงินสด และเงินกู้ยืมบางส่วน
โดยเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ผู้ถือหุ้น N-PARK เข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติให้เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 5.35 หมื่นล้านหุ้น ให้แก่นายประชา มาลีนนท์ ,นายศานติ ประนิช และนายฟิลิปวีระ บุนนาค และส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น N-PARK ในช่วงบ่ายจนราคาปรับตัวตัวขึ้นชนเพดานสูงสุด 30% (ซิลลิง) ปิดที่ 0.19 บาท บวก 0.04 บาทด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 2,150 ล้านบาท
ADVANC แกร่งสวนดัชนี เก็งราคามีปัจจัยบวกจากเปิดบริการ 3G เม.ย.นี้ ดันรายได้โต
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556 เวลา 10:40:17 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ณ เวลา 10.31 น. บวก 3 บาท หรือ 1.31% มาที่ 232 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 297.61 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.51% ทั้งนี้ ราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 200 บาท ในวันที่ 27 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 237 บาท เมื่อมีแรงเทขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวมาแตะที่ระดับ 228 บาท ในวันที่ 18 มี.ค. ก่อนจะขยับขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” ADVANC โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 256 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น ADVANC เทรดที่ P/E 19.52 เท่า และ P/BV 15.70 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น ADVANC โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 270 บาท เนื่องจาก ADVANC จะขึ้น XD เงินปันผลครึ่งหลังปี 55 หุ้นละ 5.00 บาท ในวันที่ 1 เม.ย. คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.1% โดยราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ คือการเปิดให้บริการ 3G เชิงพาณิชย์ ในเดือน เม.ย. 56 ซึ่งจะเป็น Catalyst ให้กับราคาหุ้น ซึ่งจะผลักดันให้รายได้จากการให้บริการ Data เติบโตได้มากขึ้น จากโครงข่าย 3G สามารถรองรับการให้บริการ Data ที่มีความเร็วสูงกว่า 2G มาก
ขณะที่ การโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G จะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่จ่ายเฉลี่ย 20-25% ในระบบ 2G เหลือเพียง 5.75% ในระบบ 3G โดย ADVANC ได้เริ่มให้ลูกค้าในระบบแจ้งความจำนงในการย้ายไปยังระบบ 3G แล้ว ดังนั้น เราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่การย้ายฐานลูกค้าซึ่งจะส่งผลให้เกิด Cost Saving ในระยะยาว มีแนวโน้มที่จะทำได้เร็วกว่าคาดการณ์ของตลาด
ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานการโอนย้ายฐานลูกค้าระบบ 2G มายังระบบ 3G ที่ 20% ในปี 56 คาดว่าจะส่งผลให้กำไรปกติ 56 เติบโต 12.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 39,268 ล้านบาท และเติบโตในอัตราเร่ง 23.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 48,385 ล้านบาท ในปี 57 และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีปีละ 6-7% ต่อปี
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ณ เวลา 10.31 น. บวก 3 บาท หรือ 1.31% มาที่ 232 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 297.61 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.51% ทั้งนี้ ราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 200 บาท ในวันที่ 27 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 237 บาท เมื่อมีแรงเทขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวมาแตะที่ระดับ 228 บาท ในวันที่ 18 มี.ค. ก่อนจะขยับขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” ADVANC โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 256 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น ADVANC เทรดที่ P/E 19.52 เท่า และ P/BV 15.70 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น ADVANC โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 270 บาท เนื่องจาก ADVANC จะขึ้น XD เงินปันผลครึ่งหลังปี 55 หุ้นละ 5.00 บาท ในวันที่ 1 เม.ย. คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.1% โดยราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ คือการเปิดให้บริการ 3G เชิงพาณิชย์ ในเดือน เม.ย. 56 ซึ่งจะเป็น Catalyst ให้กับราคาหุ้น ซึ่งจะผลักดันให้รายได้จากการให้บริการ Data เติบโตได้มากขึ้น จากโครงข่าย 3G สามารถรองรับการให้บริการ Data ที่มีความเร็วสูงกว่า 2G มาก
ขณะที่ การโอนย้ายฐานลูกค้าจากระบบ 2G มายัง 3G จะส่งผลให้ต้นทุน Regulatory Cost ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่จ่ายเฉลี่ย 20-25% ในระบบ 2G เหลือเพียง 5.75% ในระบบ 3G โดย ADVANC ได้เริ่มให้ลูกค้าในระบบแจ้งความจำนงในการย้ายไปยังระบบ 3G แล้ว ดังนั้น เราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่การย้ายฐานลูกค้าซึ่งจะส่งผลให้เกิด Cost Saving ในระยะยาว มีแนวโน้มที่จะทำได้เร็วกว่าคาดการณ์ของตลาด
ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานการโอนย้ายฐานลูกค้าระบบ 2G มายังระบบ 3G ที่ 20% ในปี 56 คาดว่าจะส่งผลให้กำไรปกติ 56 เติบโต 12.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 39,268 ล้านบาท และเติบโตในอัตราเร่ง 23.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 48,385 ล้านบาท ในปี 57 และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีปีละ 6-7% ต่อปี
TTA เผย เมอร์เมด เพิ่มทุนขายผถห.เดิม นำเงินชำระหนี้-ขยายธุรกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556 เวลา 09:50:03 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TTA โดย TTA และ Soleado Holdings Pte. Ltd. (Soleado) ถือหุ้นรวมกันอยู่ร้อยละ 57.14 มีมติอนุมัติการออกหุ้นเพิ่มทุนที่โอนขายไม่ได้ จำหน่ายสิทธิไม่ได้ (Non-Renounceable) และไม่มีการรับประกันการจำหน่าย (Non-Underwritten) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของเมอร์เมดตามสัดส่วนการถือหุ้น และให้แก่บุคคลในวงจำกัด มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท
ในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือ หุ้น (Private Placement) เพื่อระดมเงินทุนก่อนหักค่าใช้จ่าย (Gross Proceeds) เป็นเงินโดยประมาณจำนวน 176.1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือประมาณ 140.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ในอัตราแลกเปลี่ยน 1.25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา)
การระดมทุนในครั้งนี้ เมอร์เมดจะเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 628,799,6341 หุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.280 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในอัตราส่วนการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 4 หุ้นต่อหุ้นเดิม 5 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือ หุ้น(Registered Shareholders) โดยคณะกรรมการเมอร์เมดจะเป็นผู้พิจารณาและกำหนดวันและเวลาเพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น
ทั้งนี้ หากมีเศษของหุ้นจากการจัดสรรหุ้นตามสัดส่วนดังกล่าวให้ปัดทิ้ง และนำไปรวมกับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจากการจัดสรรตามสัดส่วนการ ถือหุ้น(Excess Rights Shares)
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการหุ้นเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมเป็นหุ้นประเภทหุ้นเพิ่มทุน ที่โอนขายไม่ได้ จำหน่ายสิทธิไม่ได้ ดังนั้น ในการจัดสรรหุ้นดังกล่าวผู้ได้รับการจัดสรรจะไม่สามารถโอนสิทธิให้แก่บุคคล ภายนอก และไม่สามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเหล่านั้นบนกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศสิงคโปร์ (SGX-ST) ได้
ภายหลังจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนที่ผู้ ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจากการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น (Excess Rights Shares) (ตามนิยามที่กำหนดไว้) หากมีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรดังกล่าว เมอร์เมดจะนำหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือนั้นไปจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคาเท่ากับราคาที่เสนอขายให้แก่ถือหุ้นเดิม หรือราคาที่เมอร์เมดจะกำหนด ซึ่งจะไม่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขายให้แก่ถือหุ้นเดิม
ทั้งนี้ เมอร์เมดมีแผนที่จะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมของเมอร์เมด ได้แก่ TTA และ Soleado เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเต็มตามสัดส่วนการถือหุ้นของตน ณ วันที่มีการปิดสมุดทะเบียน
สำหรับจำนวนเงินสุทธิที่เมอร์เมดคาดว่าจะได้รับในการออกขายหุ้นเพิ่มทุน ของเมอร์เมดจะคิดเป็นจำนวนประมาณ 175.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หลังหักค่าใช้จ่ายที่คาดไว้ประมาณ 0.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการขายหุ้นเพิ่มทุนนั้น เมอร์เมดจะนำเงินประมาณ 44.0 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปชำระหนี้เงินกู้ยืม ซึ่งได้กู้ยืมมาสำหรับการเข้าจองหุ้นเพิ่มทุนใน Asia Offshore Drilling Limited (คิดเป็นร้อยละ 25.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน)
นอกจากนั้น จะนำเงินประมาณ 100.0 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปจ่ายค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเรือขุดเจาะใหม่จำนวน 2 ลำ (คิดเป็นร้อยละ 57.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน) และ จะนำเงินประมาณ 31.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปใช้สำหรับการดำเนินกิจการของเมอร์เมด รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในเมอร์เมด (คิดเป็นร้อยละ 18.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน)
ในช่วงที่เมอร์เมดยังไม่ได้นำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ เมอร์เมดจะนำเงินเพิ่มทุนนี้จะไปฝากไว้ที่ธนาคารและ/หรือสถาบันการเงิน นำไปลงทุนระยะสั้นในตลาดการเงิน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์ตามแต่ที่คณะกรรมการจะเห็นว่าเหมาะสมเพื่อผล ประโยชน์ของกลุ่มเมอร์เมด
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TTA โดย TTA และ Soleado Holdings Pte. Ltd. (Soleado) ถือหุ้นรวมกันอยู่ร้อยละ 57.14 มีมติอนุมัติการออกหุ้นเพิ่มทุนที่โอนขายไม่ได้ จำหน่ายสิทธิไม่ได้ (Non-Renounceable) และไม่มีการรับประกันการจำหน่าย (Non-Underwritten) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของเมอร์เมดตามสัดส่วนการถือหุ้น และให้แก่บุคคลในวงจำกัด มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท
ในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือ หุ้น (Private Placement) เพื่อระดมเงินทุนก่อนหักค่าใช้จ่าย (Gross Proceeds) เป็นเงินโดยประมาณจำนวน 176.1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือประมาณ 140.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ในอัตราแลกเปลี่ยน 1.25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา)
การระดมทุนในครั้งนี้ เมอร์เมดจะเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 628,799,6341 หุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.280 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในอัตราส่วนการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 4 หุ้นต่อหุ้นเดิม 5 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือ หุ้น(Registered Shareholders) โดยคณะกรรมการเมอร์เมดจะเป็นผู้พิจารณาและกำหนดวันและเวลาเพื่อกำหนดรายชื่อ ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น
ทั้งนี้ หากมีเศษของหุ้นจากการจัดสรรหุ้นตามสัดส่วนดังกล่าวให้ปัดทิ้ง และนำไปรวมกับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจากการจัดสรรตามสัดส่วนการ ถือหุ้น(Excess Rights Shares)
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการหุ้นเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมเป็นหุ้นประเภทหุ้นเพิ่มทุน ที่โอนขายไม่ได้ จำหน่ายสิทธิไม่ได้ ดังนั้น ในการจัดสรรหุ้นดังกล่าวผู้ได้รับการจัดสรรจะไม่สามารถโอนสิทธิให้แก่บุคคล ภายนอก และไม่สามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเหล่านั้นบนกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศสิงคโปร์ (SGX-ST) ได้
ภายหลังจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนที่ผู้ ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือจากการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น (Excess Rights Shares) (ตามนิยามที่กำหนดไว้) หากมีหุ้นเพิ่มทุนเหลือจากการจัดสรรดังกล่าว เมอร์เมดจะนำหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือนั้นไปจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคาเท่ากับราคาที่เสนอขายให้แก่ถือหุ้นเดิม หรือราคาที่เมอร์เมดจะกำหนด ซึ่งจะไม่ต่ำกว่าราคาที่เสนอขายให้แก่ถือหุ้นเดิม
ทั้งนี้ เมอร์เมดมีแผนที่จะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมของเมอร์เมด ได้แก่ TTA และ Soleado เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนเต็มตามสัดส่วนการถือหุ้นของตน ณ วันที่มีการปิดสมุดทะเบียน
สำหรับจำนวนเงินสุทธิที่เมอร์เมดคาดว่าจะได้รับในการออกขายหุ้นเพิ่มทุน ของเมอร์เมดจะคิดเป็นจำนวนประมาณ 175.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หลังหักค่าใช้จ่ายที่คาดไว้ประมาณ 0.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากการขายหุ้นเพิ่มทุนนั้น เมอร์เมดจะนำเงินประมาณ 44.0 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปชำระหนี้เงินกู้ยืม ซึ่งได้กู้ยืมมาสำหรับการเข้าจองหุ้นเพิ่มทุนใน Asia Offshore Drilling Limited (คิดเป็นร้อยละ 25.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน)
นอกจากนั้น จะนำเงินประมาณ 100.0 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปจ่ายค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเรือขุดเจาะใหม่จำนวน 2 ลำ (คิดเป็นร้อยละ 57.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน) และ จะนำเงินประมาณ 31.6 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปใช้สำหรับการดำเนินกิจการของเมอร์เมด รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในเมอร์เมด (คิดเป็นร้อยละ 18.0 ของจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน)
ในช่วงที่เมอร์เมดยังไม่ได้นำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ เมอร์เมดจะนำเงินเพิ่มทุนนี้จะไปฝากไว้ที่ธนาคารและ/หรือสถาบันการเงิน นำไปลงทุนระยะสั้นในตลาดการเงิน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์ตามแต่ที่คณะกรรมการจะเห็นว่าเหมาะสมเพื่อผล ประโยชน์ของกลุ่มเมอร์เมด
Wednesday, March 20, 2013
IEC เพิ่มทุน 2.3 หมื่นล้านหุ้น เสนอผถห.เดิม 3:1 ราคาหุ้นละ 0.0225 บ.
วันพุธที่ 20 มีนาคม 2556 เวลา 09:43:59 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายจิตรเกษม งามนิล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทมีมติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 8,219,120,825 บาท เหลือ 7,802,604,942 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 4,165,158,830 หุ้น และเห็นชอบเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2,300,977,258 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 10,103,582,200 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 23,009,772,580 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท
โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.0225 บาท ทั้งนี้ บริษัทให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายสามารถจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ เกินสิทธิได้ หากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม บริษัทจะนำหุ้นในส่วนที่เหลือมาจัดสรรและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)
ทั้งนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดให้มีขึ้นพิจารณากำหนดวัน Record Date เพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในวันที่ 2 พ.ค. 56 ให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 3 พ.ค. 56 และให้กำหนดวันจองซื้อและวันชำระค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในวันที่ 17 - 23 พ.ค.56
กำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ในวันที่ 24 เม.ย. 56 เวลา 14.00 น. กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ( Record Date) ในวันที่ 2 เม.ย.56 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 3 เม.ย. 56
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายจิตรเกษม งามนิล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทมีมติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 8,219,120,825 บาท เหลือ 7,802,604,942 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 4,165,158,830 หุ้น และเห็นชอบเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2,300,977,258 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 10,103,582,200 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 23,009,772,580 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท
โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.0225 บาท ทั้งนี้ บริษัทให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมทุกรายสามารถจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ เกินสิทธิได้ หากมีหุ้นเหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม บริษัทจะนำหุ้นในส่วนที่เหลือมาจัดสรรและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)
ทั้งนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดให้มีขึ้นพิจารณากำหนดวัน Record Date เพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในวันที่ 2 พ.ค. 56 ให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในวันที่ 3 พ.ค. 56 และให้กำหนดวันจองซื้อและวันชำระค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในวันที่ 17 - 23 พ.ค.56
กำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ในวันที่ 24 เม.ย. 56 เวลา 14.00 น. กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ( Record Date) ในวันที่ 2 เม.ย.56 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 3 เม.ย. 56
Tuesday, March 19, 2013
BLAND ขยับลงอีก กูรูแนะทยอยสะสม หลังราคาถูกกดดันจาก BLAND-W2 จะหมดอายุ
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2556 เวลา 15:17:29 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ณ เวลา 15.13 น. ลบ 0.02 บาท หรือ 0.99% มาที่ 2 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 823.08 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.62% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND เริ่มอ่อนตัวลงจากระดับราคา 2.24 บาท ในวันที่ 11 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2 บาท ในวันนี้ (RSI=45.13) โดยปัจจุบันราคาหุ้น BLAND เทรดที่ P/E 23.73 เท่า และ P/BV 1.29 เท่า
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า แนะจับตาราคาหุ้น BLAND จะถูกกดดันจากการที่ BLAND-W2 อัตราแปลงที่ 1:1 ที่ราคา 1.90 บาท จะหมดอายุ และจะขึ้นเครื่องหมาย SP ในวันที่ 5 เม.ย. 56 ที่สำคัญคาดว่าการแปลง BLAND-W2 จำนวน 6,884 ล้านหน่วย ที่ 1.90 บาท จะไม่ครบจำนวน เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างต่ำ 13,080 ล้านบาท
ขณะที่ ล่าสุด BLAND อนุมัติตั้งกองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) เพื่อระดมทุนไปซื้อ และหรือเช่าช่วงทรัพย์สินของ IMPACT โดยมีแผนนำเงินที่ได้พัฒนาศูนย์ประชุมบนที่ดิน ถ.เพชรบุรี 7 ไร่ ติดกับรถไฟฟ้ามักกะสัน
ทั้งนี้ BLAND ซื้อ Impact ครบ 100% แล้ว โดยนายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทได้ชำระเงินงวดสุดท้ายจำนวน 2,100 ล้านบาท เพื่อซื้อ IMPACT 44.82% จาก South East Asia Opportunity Fund ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่ม 2,700 ล้านบาท หรือ 0.15 บาท ต่อหุ้น ซึ่งจะรับรู้ในไตรมาส 4 (มี.ค.56)
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินราคาที่ดินและอาคารทั้งหมดของ IMPACT จาก 10,393 ล้านบาท ในเดือน ก.ย. 55 เป็น 21,232 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. 56 ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่ม 10,839 ล้านบาท หรือ 0.61 บาทต่อหุ้น โดยรวมทำให้ BV เพิ่ม 0.76 บาท จาก 1.57 บาท เป็น 2.32 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ณ เวลา 15.13 น. ลบ 0.02 บาท หรือ 0.99% มาที่ 2 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 823.08 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.62% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND เริ่มอ่อนตัวลงจากระดับราคา 2.24 บาท ในวันที่ 11 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2 บาท ในวันนี้ (RSI=45.13) โดยปัจจุบันราคาหุ้น BLAND เทรดที่ P/E 23.73 เท่า และ P/BV 1.29 เท่า
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า แนะจับตาราคาหุ้น BLAND จะถูกกดดันจากการที่ BLAND-W2 อัตราแปลงที่ 1:1 ที่ราคา 1.90 บาท จะหมดอายุ และจะขึ้นเครื่องหมาย SP ในวันที่ 5 เม.ย. 56 ที่สำคัญคาดว่าการแปลง BLAND-W2 จำนวน 6,884 ล้านหน่วย ที่ 1.90 บาท จะไม่ครบจำนวน เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมากอย่างต่ำ 13,080 ล้านบาท
ขณะที่ ล่าสุด BLAND อนุมัติตั้งกองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) เพื่อระดมทุนไปซื้อ และหรือเช่าช่วงทรัพย์สินของ IMPACT โดยมีแผนนำเงินที่ได้พัฒนาศูนย์ประชุมบนที่ดิน ถ.เพชรบุรี 7 ไร่ ติดกับรถไฟฟ้ามักกะสัน
ทั้งนี้ BLAND ซื้อ Impact ครบ 100% แล้ว โดยนายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทได้ชำระเงินงวดสุดท้ายจำนวน 2,100 ล้านบาท เพื่อซื้อ IMPACT 44.82% จาก South East Asia Opportunity Fund ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่ม 2,700 ล้านบาท หรือ 0.15 บาท ต่อหุ้น ซึ่งจะรับรู้ในไตรมาส 4 (มี.ค.56)
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินราคาที่ดินและอาคารทั้งหมดของ IMPACT จาก 10,393 ล้านบาท ในเดือน ก.ย. 55 เป็น 21,232 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. 56 ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่ม 10,839 ล้านบาท หรือ 0.61 บาทต่อหุ้น โดยรวมทำให้ BV เพิ่ม 0.76 บาท จาก 1.57 บาท เป็น 2.32 บาท
TRUE แรงในรอบ 8 ปี 1 เดือน คาดเก็งออก Infar Fund เป็นทางเลือกเงินทุน
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2556 เวลา 11:17:50 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11.16 น.อยู่ที่ระดับ 8.15 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.82% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 8 ปี 1 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 8.12 บาท เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2548จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 4 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 6 แห่ง แนะนำ “ขาย”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.12 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในวันนี้ (19 มี.ค. 56) ว่า ราคาหุ้น TRUE บวกแรง คาดเก็งกำไรแนวทางของบริษัทที่ปีนี้ผู้บริหารตั้งเป้าปรับโครงสร้างเงินทุน เพราะจะมีวิธีปรับโครงสร้างหลายอย่าง เช่น การขาย non-core ออกไป
นอกจากนั้น ตลาดยังคาดการณ์ว่าบริษัทมีโอกาสทำ Infarstructure Fund โดยใช้เน็ตเวิร์คเป็นสินทรัพย์ แต่ยังไม่มีรายละเอียดและมีความซับซ้อนมาก จึงยังเป็นประเด็นที่เก็งกำไรขึ้นมานอกเหนือจากผลการดำเนินงานที่จะเทิร์น อะราวน์แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ส่วนการหาพันธมิตรนั้นตลาดรับรู้ประเด็นนี้อยู่แล้ว
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11.16 น.อยู่ที่ระดับ 8.15 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.82% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 8 ปี 1 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 8.12 บาท เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2548จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 4 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 6 แห่ง แนะนำ “ขาย”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.12 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในวันนี้ (19 มี.ค. 56) ว่า ราคาหุ้น TRUE บวกแรง คาดเก็งกำไรแนวทางของบริษัทที่ปีนี้ผู้บริหารตั้งเป้าปรับโครงสร้างเงินทุน เพราะจะมีวิธีปรับโครงสร้างหลายอย่าง เช่น การขาย non-core ออกไป
นอกจากนั้น ตลาดยังคาดการณ์ว่าบริษัทมีโอกาสทำ Infarstructure Fund โดยใช้เน็ตเวิร์คเป็นสินทรัพย์ แต่ยังไม่มีรายละเอียดและมีความซับซ้อนมาก จึงยังเป็นประเด็นที่เก็งกำไรขึ้นมานอกเหนือจากผลการดำเนินงานที่จะเทิร์น อะราวน์แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ส่วนการหาพันธมิตรนั้นตลาดรับรู้ประเด็นนี้อยู่แล้ว
TTA บวกแรงในรอบ 11 เดือน ลุ้นกำไรเริ่มกลับมาเป็นบวก-ดัชนี BDI ฟื้นตัว
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2556 เวลา 10:51:11 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 10.43 น.อยู่ที่ระดับ 18.40 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 3.95% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 11 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 18.40 บาท เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2555จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 20.40 บาท
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.56) ว่า แนะนำหุ้น TTA ให้เป้าระยะสั้น 20.00 บาท และขายเมื่อหลุด 16.30 บาท เนื่องจากธุรกิจให้เช่าเรือขุดเจาะ (AOD) ได้สัญญาเช่าครบทั้ง 3 ลำ โดยจะทยอยรับมอบเรือทั้ง 3 ลำในปีนี้ และธุรกิจเดินเรืออยู่ใกล้จุดต่ำสุด รวมทั้งธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำและการให้เช่าเรือขุดเจาะน่าจะทำให้กำไรสุทธิ รวมเริ่มกลับมาเป็นบวกได้อย่างช้าที่สุดไตรมาส2/56 นอกจากนี้ ดัชนี BDI ฟื้นขึ้น 18 วันต่อเนื่อง ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.88x PBV
ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 56 ว่า บริษัทได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่ง หรือ AOD ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนของบมจ. เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย หรือ Saudi Aramco ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก มูลค่ารวมสูงถึง 462 ล้านเหรียญสหรัฐ
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ณ เวลา 10.43 น.อยู่ที่ระดับ 18.40 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 3.95% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 11 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 18.40 บาท เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2555จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 20.40 บาท
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.56) ว่า แนะนำหุ้น TTA ให้เป้าระยะสั้น 20.00 บาท และขายเมื่อหลุด 16.30 บาท เนื่องจากธุรกิจให้เช่าเรือขุดเจาะ (AOD) ได้สัญญาเช่าครบทั้ง 3 ลำ โดยจะทยอยรับมอบเรือทั้ง 3 ลำในปีนี้ และธุรกิจเดินเรืออยู่ใกล้จุดต่ำสุด รวมทั้งธุรกิจวิศวกรรมใต้น้ำและการให้เช่าเรือขุดเจาะน่าจะทำให้กำไรสุทธิ รวมเริ่มกลับมาเป็นบวกได้อย่างช้าที่สุดไตรมาส2/56 นอกจากนี้ ดัชนี BDI ฟื้นขึ้น 18 วันต่อเนื่อง ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายเพียง 0.88x PBV
ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 56 ว่า บริษัทได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่ง หรือ AOD ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนของบมจ. เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดิอาระเบีย หรือ Saudi Aramco ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก มูลค่ารวมสูงถึง 462 ล้านเหรียญสหรัฐ
SIM ดีด 11.84% มี Upside จากโครงการ Tablet-ปี 57 MVNO ดันกำไรโตแรง
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2556 เวลา 10:28:15 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ณ เวลา 10.20 น. บวก 0.36 บาท หรือ 11.84% มาที่ 3.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 150.45 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.52% ทั้งนี้ ราคาหุ้น SIM ดีดตัวขึ้นแรงจากระดับราคา 2.62 บาท ในวันที่ 11 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 3.40 บาท ในวันนี้ (RSI=82.36) ทั้งนี้ ราคาหุ้นเริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” SIM โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 3.55 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น SIM เทรดที่ P/E 78.91 เท่า และ P/BV 5.21 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น SIM โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 4.60 บาท เนื่องจากเราเชื่อว่าราคาหุ้นมีแนวโน้ม Outperform ตลาดได้ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า จากธุรกิจที่กลับเข้าสู่ Up Cycle อีกครั้ง จากการผลัดใบเข้าสู่เทคโนโลยี 3G ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเครื่องโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนมากตั้งแต่ ปี 56 เป็นต้นไป และอัตรากำไร (Gross Margin) ของโทรศัพท์ประเภท Smart Phone สูงกว่า Feature Phone ถึงเกือบเท่าตัว จะเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในปีนี้ โดยเราคาดว่ายอดขาย smart Phone ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 74% ของยอดขายทั้งหมด จะเติบโตถึง 416% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.90 ล้านเครื่องในปี 56
ขณะที่ธุรกิจ Content เช่น BUG1113, BUG 1900, I-sport ยังมีทิศทางเติบโต เนื่องจากได้ประโยชน์จากความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นจาก เทคโนโลยี 3G และธุรกิจ MVNO คาดว่าจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนได้ในครึ่งหลังปี 56 และเริ่มสร้างกำไรในปี 57 หลังโครงข่าย 3G ของ TOT เฟส 1 จะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1/56 และพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกระยะสั้นรออยู่จากคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/56 จะเติบโตสูงถึง 592% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 113% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 170 ล้านบาท และกำไรไตรมาส 1/56 เพียงไตรมาสเดียวจะเท่ากับกำไรปี 55 ทั้งปีที่ 165 ล้านบาท และจะเห็นการไต่ระดับขึ้นของกำไรจากไตรมาสก่อนหน้า ไปถึงไตรมาส 4/56 และคาดว่าจะเป็น 1 ในบริษัท ที่เข้าร่วมประมูลโครงการ Tablet จำนวน 1.8 ล้านเครื่อง ในเดือน เม.ย. 56 และเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ
นอกจากนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 56 จะเติบโตสูงถึง 260% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 597 ล้านบาท และมีอัตรากำไรเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้า (CAGR) สูงถึง 76% ต่อปี จึงเริ่มต้นคำแนะนำด้วย “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 4.60 ล้านบาท และหากชนะงาน Tablet จะได้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 5.00 – 5.20 บาท
ด้าน บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า นอกจากปัจจัยหนุนเดิมอย่างการเซ็นสัญญา MVNO ฉบับใหม่กับ TOT ที่จะมีความชัดเจนใน เม.ย.56 แล้ว ประเด็นเก็งกำไรใหม่จะอยู่ที่โครงการแท็บเล็ตเฟส 2 มูลค่า 3.8 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน เม.ย.56 เช่นกัน ซึ่งถ้า SIM ได้รับงานในดีลนี้คาดว่าจะส่งให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดิม 11% และช่วยเพิ่มมูลค่าเหมาะสมจากเดิม 2.85 บาทเป็น 3.30 บาท (P/E 26 เท่า)
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 คาดว่ากำไรสุทธิของ SIM จะอยู่ที่ 160 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 92% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 500% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ณ เวลา 10.20 น. บวก 0.36 บาท หรือ 11.84% มาที่ 3.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 150.45 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.52% ทั้งนี้ ราคาหุ้น SIM ดีดตัวขึ้นแรงจากระดับราคา 2.62 บาท ในวันที่ 11 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 3.40 บาท ในวันนี้ (RSI=82.36) ทั้งนี้ ราคาหุ้นเริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” SIM โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 3.55 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น SIM เทรดที่ P/E 78.91 เท่า และ P/BV 5.21 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น SIM โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 4.60 บาท เนื่องจากเราเชื่อว่าราคาหุ้นมีแนวโน้ม Outperform ตลาดได้ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า จากธุรกิจที่กลับเข้าสู่ Up Cycle อีกครั้ง จากการผลัดใบเข้าสู่เทคโนโลยี 3G ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเครื่องโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนมากตั้งแต่ ปี 56 เป็นต้นไป และอัตรากำไร (Gross Margin) ของโทรศัพท์ประเภท Smart Phone สูงกว่า Feature Phone ถึงเกือบเท่าตัว จะเป็นกุญแจสำคัญ เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในปีนี้ โดยเราคาดว่ายอดขาย smart Phone ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 74% ของยอดขายทั้งหมด จะเติบโตถึง 416% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.90 ล้านเครื่องในปี 56
ขณะที่ธุรกิจ Content เช่น BUG1113, BUG 1900, I-sport ยังมีทิศทางเติบโต เนื่องจากได้ประโยชน์จากความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นจาก เทคโนโลยี 3G และธุรกิจ MVNO คาดว่าจะเข้าสู่จุดคุ้มทุนได้ในครึ่งหลังปี 56 และเริ่มสร้างกำไรในปี 57 หลังโครงข่าย 3G ของ TOT เฟส 1 จะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1/56 และพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกระยะสั้นรออยู่จากคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/56 จะเติบโตสูงถึง 592% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 113% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 170 ล้านบาท และกำไรไตรมาส 1/56 เพียงไตรมาสเดียวจะเท่ากับกำไรปี 55 ทั้งปีที่ 165 ล้านบาท และจะเห็นการไต่ระดับขึ้นของกำไรจากไตรมาสก่อนหน้า ไปถึงไตรมาส 4/56 และคาดว่าจะเป็น 1 ในบริษัท ที่เข้าร่วมประมูลโครงการ Tablet จำนวน 1.8 ล้านเครื่อง ในเดือน เม.ย. 56 และเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ
นอกจากนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 56 จะเติบโตสูงถึง 260% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 597 ล้านบาท และมีอัตรากำไรเติบโตเฉลี่ยในช่วง 3 ปีข้างหน้า (CAGR) สูงถึง 76% ต่อปี จึงเริ่มต้นคำแนะนำด้วย “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 4.60 ล้านบาท และหากชนะงาน Tablet จะได้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 5.00 – 5.20 บาท
ด้าน บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มี.ค.) ว่า นอกจากปัจจัยหนุนเดิมอย่างการเซ็นสัญญา MVNO ฉบับใหม่กับ TOT ที่จะมีความชัดเจนใน เม.ย.56 แล้ว ประเด็นเก็งกำไรใหม่จะอยู่ที่โครงการแท็บเล็ตเฟส 2 มูลค่า 3.8 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน เม.ย.56 เช่นกัน ซึ่งถ้า SIM ได้รับงานในดีลนี้คาดว่าจะส่งให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดิม 11% และช่วยเพิ่มมูลค่าเหมาะสมจากเดิม 2.85 บาทเป็น 3.30 บาท (P/E 26 เท่า)
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 คาดว่ากำไรสุทธิของ SIM จะอยู่ที่ 160 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 92% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 500% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”
Monday, March 18, 2013
วันนี้หุ้นขนส่งเทรดคึก BTS เทคนิคเฟ้อ THAI ข่าวดีกระหน่ำควง AAV วิ่งแรง
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2556 เวลา 16:24:11 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้หุ้นกลุ่มขนส่งปรับตัวขึ้นคึกคัก และมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นขนส่งทางบกและทางอากาศโดย ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ล่าสุด ณ เวลา 16.01 น. อยู่ที่ 9.45 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 3.85% มูลค่าการซื้อขาย 2,816.49 ล้านบาท ส่วนบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ปรับตัวลดลง 2.67%
ขณะที่หุ้นขนส่งทางอากาศ นำโดยหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI อยู่ที่ 28.00 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 6.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,515.48 ล้านบาท บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV อยู่ที่ 7.60 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 4.11% ส่วนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง วันนี้บวก 0.41%
ด้านขนส่งทางเรือ นำโดยบริษัท จุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA บวก 2.13% บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ทรงตัวที่ 17.80 บาท ขณะที่ราคาหุ้นบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ลดลง 2.06%
ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคของ BTS เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (RSI=81.25) ขณะที่ THAI และ AAV เริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (RSI=73.27 และ 72.90 ตามลำดับ) ส่วน AOT JUTHA เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ TTA ค่อนข้างทรงตัว
ส่วนข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 8 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” THAI และแนะนำ “ขาย” 2 แห่ง อีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 28.53 บาท ส่วน AAV แนะนำ “ซื้อ” จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ขาย” จำนวน 4 แห่ง และแนะนำ “ถือ” จำนวน 3 แห่ง ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 6.39 บาท ด้าน BTS แนะนำ “ซื้อ” 3 แห่ง โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.83 บาท ขณะที่แนะนำ “ซื้อ” AOT จำนวน 6 แห่ง แนะนำ “ขาย” 5 แห่ง และแนะนำ “ถือ” จำนวน 1 แห่ง โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 116.38 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ว่า เราชอบ BTS เพราะ 1) กำไรสุทธิไตรมาส 1 ปีบัญชี 2557 (เม.ย.-มิ.ย. 56) มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากกำไรพิเศษจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุน รวมโครงสร้างพื้นฐานและกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติที่เพิ่มขึ้นและ 2) แนวโน้มที่บริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษ (จะประกาศในเดือน มิ.ย. 56) จากเงินสดและกำไรที่คาดว่าจะได้รับจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกอง ทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้เราก็ชอบ THAI เพราะ: 1) THAI เป็นหุ้น laggard play มากที่สุดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นTHAI ปรับขึ้นมาเพียง 5% เทียบกับหุ้นขนส่งทางอากาศอื่นๆ (AOT +122% และ AAV +97%) หุ้นโรงแรม(CENTEL +250% ERW +123% MINT +118%) และ SET (+36%); 2) THAI เป็นหนึ่งในหุ้นสายการบินที่มีราคาถูกสุดเมื่อเทียบกับหุ้นสายการบินอื่นๆใน ตลาดภูมิภาค โดยเทรดที่ PBV ปี 2556 ระดับ 0.7 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1.2 เท่า) และ EV/EBITDA ปี 2556 ระดับ 7 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8 เท่า); และ3) ปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ได้แก่ ช่วง high season ของธุรกิจในไตรมาส 1/56 และการจดทะเบียนนกแอร์ในตลาดฯ
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ดังนี้ THAI (เป้า Consensus 28.4 บาท) เย็นวันศุกร์ THAI รายงาน Cabin factor เดือน ก.พ.56 เท่ากับ 80.4% เพิ่มขึ้นเทียบกับเดือน ก.พ. 55 ที่ 79% เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินของ THAI ไตรมาส 1 จะยังเด่นเพราะเป็น High season และไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวนมากเช่นในไตรมาส 4/55
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้หุ้นกลุ่มขนส่งปรับตัวขึ้นคึกคัก และมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นขนส่งทางบกและทางอากาศโดย ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ล่าสุด ณ เวลา 16.01 น. อยู่ที่ 9.45 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 3.85% มูลค่าการซื้อขาย 2,816.49 ล้านบาท ส่วนบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ปรับตัวลดลง 2.67%
ขณะที่หุ้นขนส่งทางอากาศ นำโดยหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI อยู่ที่ 28.00 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 6.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,515.48 ล้านบาท บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV อยู่ที่ 7.60 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 4.11% ส่วนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง วันนี้บวก 0.41%
ด้านขนส่งทางเรือ นำโดยบริษัท จุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA บวก 2.13% บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ทรงตัวที่ 17.80 บาท ขณะที่ราคาหุ้นบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ลดลง 2.06%
ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคของ BTS เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (RSI=81.25) ขณะที่ THAI และ AAV เริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (RSI=73.27 และ 72.90 ตามลำดับ) ส่วน AOT JUTHA เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่ TTA ค่อนข้างทรงตัว
ส่วนข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 8 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” THAI และแนะนำ “ขาย” 2 แห่ง อีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 28.53 บาท ส่วน AAV แนะนำ “ซื้อ” จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ขาย” จำนวน 4 แห่ง และแนะนำ “ถือ” จำนวน 3 แห่ง ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 6.39 บาท ด้าน BTS แนะนำ “ซื้อ” 3 แห่ง โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 10.83 บาท ขณะที่แนะนำ “ซื้อ” AOT จำนวน 6 แห่ง แนะนำ “ขาย” 5 แห่ง และแนะนำ “ถือ” จำนวน 1 แห่ง โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 116.38 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ว่า เราชอบ BTS เพราะ 1) กำไรสุทธิไตรมาส 1 ปีบัญชี 2557 (เม.ย.-มิ.ย. 56) มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากกำไรพิเศษจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุน รวมโครงสร้างพื้นฐานและกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติที่เพิ่มขึ้นและ 2) แนวโน้มที่บริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษ (จะประกาศในเดือน มิ.ย. 56) จากเงินสดและกำไรที่คาดว่าจะได้รับจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกอง ทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
นอกจากนี้เราก็ชอบ THAI เพราะ: 1) THAI เป็นหุ้น laggard play มากที่สุดในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นTHAI ปรับขึ้นมาเพียง 5% เทียบกับหุ้นขนส่งทางอากาศอื่นๆ (AOT +122% และ AAV +97%) หุ้นโรงแรม(CENTEL +250% ERW +123% MINT +118%) และ SET (+36%); 2) THAI เป็นหนึ่งในหุ้นสายการบินที่มีราคาถูกสุดเมื่อเทียบกับหุ้นสายการบินอื่นๆใน ตลาดภูมิภาค โดยเทรดที่ PBV ปี 2556 ระดับ 0.7 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1.2 เท่า) และ EV/EBITDA ปี 2556 ระดับ 7 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8 เท่า); และ3) ปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น ได้แก่ ช่วง high season ของธุรกิจในไตรมาส 1/56 และการจดทะเบียนนกแอร์ในตลาดฯ
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ดังนี้ THAI (เป้า Consensus 28.4 บาท) เย็นวันศุกร์ THAI รายงาน Cabin factor เดือน ก.พ.56 เท่ากับ 80.4% เพิ่มขึ้นเทียบกับเดือน ก.พ. 55 ที่ 79% เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินของ THAI ไตรมาส 1 จะยังเด่นเพราะเป็น High season และไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานจำนวนมากเช่นในไตรมาส 4/55
CK ระยะยาว Backlog หนุน ระยะสั้นบันทึกกำไรขาย TTW เทคนิคเก็งกำไรจ่อทะลุ 30 บ.
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2556 เวลา 12:25:17 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ เวลา 12.22 น. ลบ 0.25 บาท หรือ 0.86% มาที่ 28.75 บาท สูงสุดที่ 29.75 บาท ต่ำสุดที่ 28.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 660.80 ล้านบาท โดยราคาหุ้นอ่อนตัวลงหลังเข้าใกล้แนวต้านที่ 30.00 บาท ขณะที่สัญญาณเทคนิคยังอยู่ในเขตซื้อมากเกินไป ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 10 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 3 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 1 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 30.90 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.33%
บล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า CK มีงานในมือ (Backlog) สูงกว่า 1.24 แสนล้านบาทรองรับการเติบโตของรายได้ไปอีกกว่า 6 ปี และยังเป็นผู้รับเหมาที่มีศักยภาพที่จะได้งานประมูลจากภาครัฐทั้งโครงการ บริหารจัดการน้ำและงานก่อสร้างจากโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทนอกจากนี้ระยะสั้นยังมีปัจจัยบวกจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น TTW ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตก้าวกระโดด ด้านสัญญาณเทคนิควันก่อนราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ sideway ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวบนเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ยังมองว่าทิศทางที่มีการแกว่งตัวยังให้น้ำหนักเป็นขาขึ้นอยู่ price pattern ยังรักษารูปแบบได้ดี ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยให้แนวรับที่ 28.00/27.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 30.00/32.00 บาท
บล.บัวหลวงระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า วอลุ่ม CK เพิ่มสูงขึ้นตามสัญญาณ Break out ทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ ลุ้นขึ้นทดสอบแนวต้านที่ให้ไว้บริเวณ 33-35 ทั้งนี้แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 33/35 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 27.25 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า ราคาหุ้น CK ปิดเป็นแนวโน้มทางขาขึ้น มีวอลุ่มเด่น 3 วัน แนะนำ ซื้อเก็งกำไรกรอบแนวรับ 28.50 แนวต้าน 30.50 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ณ เวลา 12.22 น. ลบ 0.25 บาท หรือ 0.86% มาที่ 28.75 บาท สูงสุดที่ 29.75 บาท ต่ำสุดที่ 28.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 660.80 ล้านบาท โดยราคาหุ้นอ่อนตัวลงหลังเข้าใกล้แนวต้านที่ 30.00 บาท ขณะที่สัญญาณเทคนิคยังอยู่ในเขตซื้อมากเกินไป ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 10 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 3 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 1 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 30.90 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.33%
บล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า CK มีงานในมือ (Backlog) สูงกว่า 1.24 แสนล้านบาทรองรับการเติบโตของรายได้ไปอีกกว่า 6 ปี และยังเป็นผู้รับเหมาที่มีศักยภาพที่จะได้งานประมูลจากภาครัฐทั้งโครงการ บริหารจัดการน้ำและงานก่อสร้างจากโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทนอกจากนี้ระยะสั้นยังมีปัจจัยบวกจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น TTW ช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตก้าวกระโดด ด้านสัญญาณเทคนิควันก่อนราคาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ sideway ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวบนเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ยังมองว่าทิศทางที่มีการแกว่งตัวยังให้น้ำหนักเป็นขาขึ้นอยู่ price pattern ยังรักษารูปแบบได้ดี ทำให้ราคามีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นได้ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยให้แนวรับที่ 28.00/27.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 30.00/32.00 บาท
บล.บัวหลวงระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า วอลุ่ม CK เพิ่มสูงขึ้นตามสัญญาณ Break out ทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ ลุ้นขึ้นทดสอบแนวต้านที่ให้ไว้บริเวณ 33-35 ทั้งนี้แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 33/35 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 27.25 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ (18 มี.ค.) ว่า ราคาหุ้น CK ปิดเป็นแนวโน้มทางขาขึ้น มีวอลุ่มเด่น 3 วัน แนะนำ ซื้อเก็งกำไรกรอบแนวรับ 28.50 แนวต้าน 30.50 บาท
TMB ลบ 1.42% กูรูแนะระมัดระวังเก็งกำไร หลังราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยบวกระยะสั้นแล้ว
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2556 เวลา 11:47:01 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ณ เวลา 11.39 น. ลบ 0.04 บาท หรือ 1.42% มาที่ 2.78 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 577.93 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.30% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TMB ปรับตัวขึ้นแรงจากระดับราคา 2.68 บาท ในวันที่ 13 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2.88 บาท ในวันที่ 14 มี.ค. ก่อนจะอ่อนตัวลงมาแตะที่ระดับราคา 2.78 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” TMB จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.54 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น TMB เทรดที่ P/E 76.51 เท่า และ P/BV 2.29 เท่า
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ว่า เราคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” หุ้น TMB เนื่องจากมุมมองบวกต่อกำไรเติบโตสูงในปี 56 และพื้นฐานแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นสะท้อนมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐานไปมากพอสมควรแล้วใน ระยะสั้น ดังนั้น การปรับขึ้นของราคาจะมีปัจจัยจากเรื่องข่าวการซื้อขายหุ้น TMB มากกว่า ดังนั้น ราคาหุ้นจึงมีความเสี่ยงผันผวนหากเรื่องการซื้อขายหุ้นไม่สำเร็จ เราประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 2.19 บาท อิงจาก Prospective P/BV ที่ 1.6 เท่า (ROE 12%, Ke 10%)
ขณะที่ เราประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ที่ 5.84 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 263.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากค่าจ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง และการเติบโตต่อเนื่องของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม โดย TMB จะกลับมาเสียภาษีตามปกติที่ 20% เรามองว่า TMB ยังมีโอกาสสำหรับการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน NIM ที่อาจปรับขึ้นตามเป้าหมายที่ 3% (KSS คาดไว้ที่ 2.9%) หากสินเชื่อเติบโตสูงกว่าประมาณการ และหนี้เสียลดลง
นอกจากนี้ธนาคารไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายสำรองหนี้ฯ ซึ่งเป็นรายการที่ธนาคารสามารถบริหารจัดการให้ปรับลดลงได้ในปี 56 ขึ้นกับความสามารถในบริหารคุณภาพสินเชื่อให้ดีขึ้นในอนาคต
โดยในสัปดาห์ก่อน ข่าวที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้น TMB จากกระทรวงการคลังที่ถืออยู่ราว 26% และสนใจซื้อหุ้นจากกลุ่ม ING ที่ถือรวม 31% ส่งผลให้ราคาหุ้นตอบรับในทางบวกปรับสูงขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าแนวโน้มกำไรปี 56 จะเติบโตสูง และพื้นฐานของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นมาก หลังจากกลุ่ม ING เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารใหม่ โดยเฉพาะการล้างขาดทุนสะสมสำเร็จในปี 53 และคุณภาพสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นมากจนทำให้ NPL ratio ปรับลดลงเหลือ 4.1% ในปี 55 จากที่เคยอยู่สูง 14.3% ในปี 51 แต่ราคาหุ้นซื้อขายที่ 2.1x P/BV และ 21.0x P/E 20 และธนาคารมี ROE ระดับต่ำที่ 10-12% เทียบกับค่าเฉลี่ยฯ ของกลุ่มซื้อขายที่ 1.8x P/BV 12x P/BV และมี ROE ของกลุ่มฯ ที่ 16% ดังนั้น การเข้าเก็งกำไร TMB จากเรื่องพันธมิตรต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากราคาสะท้อนการเก็งกำไรข่าว และปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้วในระยะสั้น
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ณ เวลา 11.39 น. ลบ 0.04 บาท หรือ 1.42% มาที่ 2.78 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 577.93 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.30% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TMB ปรับตัวขึ้นแรงจากระดับราคา 2.68 บาท ในวันที่ 13 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2.88 บาท ในวันที่ 14 มี.ค. ก่อนจะอ่อนตัวลงมาแตะที่ระดับราคา 2.78 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” TMB จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.54 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น TMB เทรดที่ P/E 76.51 เท่า และ P/BV 2.29 เท่า
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (18 มี.ค.) ว่า เราคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” หุ้น TMB เนื่องจากมุมมองบวกต่อกำไรเติบโตสูงในปี 56 และพื้นฐานแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นสะท้อนมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐานไปมากพอสมควรแล้วใน ระยะสั้น ดังนั้น การปรับขึ้นของราคาจะมีปัจจัยจากเรื่องข่าวการซื้อขายหุ้น TMB มากกว่า ดังนั้น ราคาหุ้นจึงมีความเสี่ยงผันผวนหากเรื่องการซื้อขายหุ้นไม่สำเร็จ เราประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 2.19 บาท อิงจาก Prospective P/BV ที่ 1.6 เท่า (ROE 12%, Ke 10%)
ขณะที่ เราประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ที่ 5.84 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 263.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากค่าจ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง และการเติบโตต่อเนื่องของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียม โดย TMB จะกลับมาเสียภาษีตามปกติที่ 20% เรามองว่า TMB ยังมีโอกาสสำหรับการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน NIM ที่อาจปรับขึ้นตามเป้าหมายที่ 3% (KSS คาดไว้ที่ 2.9%) หากสินเชื่อเติบโตสูงกว่าประมาณการ และหนี้เสียลดลง
นอกจากนี้ธนาคารไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายสำรองหนี้ฯ ซึ่งเป็นรายการที่ธนาคารสามารถบริหารจัดการให้ปรับลดลงได้ในปี 56 ขึ้นกับความสามารถในบริหารคุณภาพสินเชื่อให้ดีขึ้นในอนาคต
โดยในสัปดาห์ก่อน ข่าวที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศสนใจซื้อหุ้น TMB จากกระทรวงการคลังที่ถืออยู่ราว 26% และสนใจซื้อหุ้นจากกลุ่ม ING ที่ถือรวม 31% ส่งผลให้ราคาหุ้นตอบรับในทางบวกปรับสูงขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าแนวโน้มกำไรปี 56 จะเติบโตสูง และพื้นฐานของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นมาก หลังจากกลุ่ม ING เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารใหม่ โดยเฉพาะการล้างขาดทุนสะสมสำเร็จในปี 53 และคุณภาพสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นมากจนทำให้ NPL ratio ปรับลดลงเหลือ 4.1% ในปี 55 จากที่เคยอยู่สูง 14.3% ในปี 51 แต่ราคาหุ้นซื้อขายที่ 2.1x P/BV และ 21.0x P/E 20 และธนาคารมี ROE ระดับต่ำที่ 10-12% เทียบกับค่าเฉลี่ยฯ ของกลุ่มซื้อขายที่ 1.8x P/BV 12x P/BV และมี ROE ของกลุ่มฯ ที่ 16% ดังนั้น การเข้าเก็งกำไร TMB จากเรื่องพันธมิตรต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากราคาสะท้อนการเก็งกำไรข่าว และปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้วในระยะสั้น
Saturday, March 16, 2013
หุ้นจ่อทะลุ1,600จุด
หุ้นจ่อทะลุ1,600จุด
ข้อมูลโดย : www.bangkokbiznews.com
ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (15 มี.ค.) ยังปรับขึ้นต่อเนื่องตามภูมิภาค โดยปิดที่ 1,598 จุด เพิ่มขึ้น 11.34 จุด ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,599.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 76,830 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,325 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 352 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,988 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 2,310 ล้านบาท
มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1-15 มี.ค. สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 632 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 2,106 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 11,469 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 14,207 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นไทยไม่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,600 จุด แต่มีโอกาสเพิ่มขึ้นเกินระดับ 1,600 จุดในช่วงสัปดาห์หน้า โดยแรงลงทุนหลักอยู่ในกลุ่มธนาคาร กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มไอซีที ทั้งนี้ เป็นผลพวงจากการทำราคาเพื่อปิดพอร์ตลงทุนรายไตรมาส (WINDOW DRESSING) ซึ่งตามสถิติแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.- เม.ย. ของทุกปีแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า เชื่อว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบขาขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นเกินระดับ 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ฝ่ายวิจัยมองว่าจะได้เห็นในเดือนมี.ค. นี้ โดยเชื่อว่าสัปดาห์หน้ามีโอกาสที่จะเห็นหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 25 จุด จากระดับ 1,600 จุด หรือ หากปรับฐานลดลงก็จะไม่ลดไปมากกว่า 25 จุดเช่นกัน
ข้อมูลโดย : www.bangkokbiznews.com
ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (15 มี.ค.) ยังปรับขึ้นต่อเนื่องตามภูมิภาค โดยปิดที่ 1,598 จุด เพิ่มขึ้น 11.34 จุด ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,599.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 76,830 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,325 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 352 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,988 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 2,310 ล้านบาท
มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1-15 มี.ค. สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 632 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 2,106 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 11,469 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 14,207 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นไทยไม่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,600 จุด แต่มีโอกาสเพิ่มขึ้นเกินระดับ 1,600 จุดในช่วงสัปดาห์หน้า โดยแรงลงทุนหลักอยู่ในกลุ่มธนาคาร กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มไอซีที ทั้งนี้ เป็นผลพวงจากการทำราคาเพื่อปิดพอร์ตลงทุนรายไตรมาส (WINDOW DRESSING) ซึ่งตามสถิติแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.- เม.ย. ของทุกปีแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า เชื่อว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบขาขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นเกินระดับ 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ฝ่ายวิจัยมองว่าจะได้เห็นในเดือนมี.ค. นี้ โดยเชื่อว่าสัปดาห์หน้ามีโอกาสที่จะเห็นหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 25 จุด จากระดับ 1,600 จุด หรือ หากปรับฐานลดลงก็จะไม่ลดไปมากกว่า 25 จุดเช่นกัน
Friday, March 15, 2013
BTS ระดมทุนทะลุ 6 หมื่นลบ. ขายกองทุน BTSGIF จำนวน 5.79 พันล้านหน่วย
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556 เวลา 13:23:32 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) โดย BTS จะขายกองทุนจำนวน 5.79 พันล้านหน่วย ในราคาหน่วยละ 10.40-10.80 บาท คิด เป็นเงินทุน 6.02-6.25 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนเงินทุนของโครงการจะขึ้นอยู่ กับราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งอยู่ในช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นดังกล่าว
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมเงินทุนครั้งนี้ จะเป็นการระดมเงินทุนจากนัก ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำเงินไปใช้ในกิจการโครงสร้างพื้นฐานเป็น หลัก ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพื่อเป็นรายได้ให้แก่กองทุนต่อ เนื่อง ทั้งนี้ คาดว่ากองทุน BTSGIF จะเสนอขายหน่วยลงทุนในวันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย.56
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติให้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) โดย BTS จะขายกองทุนจำนวน 5.79 พันล้านหน่วย ในราคาหน่วยละ 10.40-10.80 บาท คิด เป็นเงินทุน 6.02-6.25 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนเงินทุนของโครงการจะขึ้นอยู่ กับราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งอยู่ในช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นดังกล่าว
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมเงินทุนครั้งนี้ จะเป็นการระดมเงินทุนจากนัก ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำเงินไปใช้ในกิจการโครงสร้างพื้นฐานเป็น หลัก ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพื่อเป็นรายได้ให้แก่กองทุนต่อ เนื่อง ทั้งนี้ คาดว่ากองทุน BTSGIF จะเสนอขายหน่วยลงทุนในวันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย.56
QH โชว์มูลค่าพอร์ตลงทุนโตก้าวกระโดด Bloomberg มองกำไรโตสุดในกลุ่ม
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556 เวลา 10:38:06 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ณ เวลา 10.35 น. อยู่ที่ 4.68 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ 4.78 บาท ต่ำสุดที่ 4.62 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 343.06 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 9 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.50 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.69%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อ" QH หลังมูลค่าพอร์ตลงทุนเติบโตก้าวกระโดด ปัจจุบัน QH ถือหุ้นใน HMPRO คิดเป็น 19.8%, LHBANK 22.2%, QHPF 25.7% และ QHHR 31.3% โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.06 หมื่นล้านบาท ซึ่งอิงราคาตลาดในปัจจุบัน และคิดเป็น 3.48 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาโดยใช้ราคาที่เหมาะสมเป็นเกณฑ์ ขณะที่มูลค่าทางบัญชีของบริษัทฯอยู่ที่ 7 พันล้านบาท
ด้านการดำเนินงานคาดว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษของ QH ในปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 46% และ 16% ในปี 57 ตามการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียม ขณะที่กำไรในไตรมาส 1/56 จะเพิ่มขึ้นมากจากกำไรที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ พร้อมให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 6.40 บาท
ขณะที่บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า ปัจจัยหนุนของราคา QH ในระยะสั้นคือโครงการแนวราบทั้งแบรนด์ Casa และ Gusto ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และโอกาสการรับรู้กำไรพิเศษในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 จากการขาย Centre Point (Serviced Apartment) ย่านศาลาแดง และสีลม ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ 2.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 4.7 เท่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้ความน่าสนใจในเชิงกลยุทธ์คือประเด็น Earnings Revision ที่ตั้งแต่ต้นปี 56 กำไรสุทธิของ QH ถูก Bloomberg Consensus ปรับประมาณการขึ้นมาแล้ว 21% สูงที่สุดในกลุ่มบ้าน ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับ และจุด Cut Loss ที่ 4.52 บาท และแนวต้านที่ 4.90 บาท
ด้านเทคนิคบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า QH มีแนวโน้มดี รอขาย 5 บาท หากไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดให้ หากต่ำกว่า 4.56 บาทให้ขายออกไปก่อน
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ณ เวลา 10.35 น. อยู่ที่ 4.68 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ 4.78 บาท ต่ำสุดที่ 4.62 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 343.06 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 9 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 4.50 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.69%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) แนะนำ "ซื้อ" QH หลังมูลค่าพอร์ตลงทุนเติบโตก้าวกระโดด ปัจจุบัน QH ถือหุ้นใน HMPRO คิดเป็น 19.8%, LHBANK 22.2%, QHPF 25.7% และ QHHR 31.3% โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.06 หมื่นล้านบาท ซึ่งอิงราคาตลาดในปัจจุบัน และคิดเป็น 3.48 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาโดยใช้ราคาที่เหมาะสมเป็นเกณฑ์ ขณะที่มูลค่าทางบัญชีของบริษัทฯอยู่ที่ 7 พันล้านบาท
ด้านการดำเนินงานคาดว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษของ QH ในปีนี้ จะเติบโตได้ถึง 46% และ 16% ในปี 57 ตามการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียม ขณะที่กำไรในไตรมาส 1/56 จะเพิ่มขึ้นมากจากกำไรที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ พร้อมให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 6.40 บาท
ขณะที่บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า ปัจจัยหนุนของราคา QH ในระยะสั้นคือโครงการแนวราบทั้งแบรนด์ Casa และ Gusto ที่ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และโอกาสการรับรู้กำไรพิเศษในช่วงครึ่งปีแรกของปี 56 จากการขาย Centre Point (Serviced Apartment) ย่านศาลาแดง และสีลม ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ 2.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 4.7 เท่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้ความน่าสนใจในเชิงกลยุทธ์คือประเด็น Earnings Revision ที่ตั้งแต่ต้นปี 56 กำไรสุทธิของ QH ถูก Bloomberg Consensus ปรับประมาณการขึ้นมาแล้ว 21% สูงที่สุดในกลุ่มบ้าน ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" โดยมีแนวรับ และจุด Cut Loss ที่ 4.52 บาท และแนวต้านที่ 4.90 บาท
ด้านเทคนิคบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า QH มีแนวโน้มดี รอขาย 5 บาท หากไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดให้ หากต่ำกว่า 4.56 บาทให้ขายออกไปก่อน
SUSCO พุ่ง 12% หลังผู้บริหารเผยมีกำไรจากขายหุ้นซื้อคืน เทคนิคลุ้นแตะ 8 บ.
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2556 เวลา 10:57:42 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO ณ เวลา 10.55 น. บวก 0.75 บาท หรือ 12.50% มาที่ 6.75 บาท สูงสุดที่ 7.00 บาท ต่ำสุดที่ 6.45 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.59 พันล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.64% โดยราคาหุ้นเช้านี้ปรับขึ้นแรงหลังมีข่าวผู้บริหารระบุว่า บริษัทมีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท จากการนำหุ้นที่ซื้อคืน ออกมาขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทยอยนำหุ้นที่ซื้อคืนออกมาขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำออกมาขาย 9 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.22 บาท/หุ้น จากหุ้นซื้อคืนทั้งหมดที่มี อยู่ 40 ล้านหุ้น ส่วนหุ้นที่เหลือจะทยอยขายออกมาตามจังหวะและความเหมาะสม โดยระบุว่าหุ้นซื้อคืนที่ขายไป 9 ล้านหุ้น บริษัทได้รับเงิน ทั้งสิ้น 37.98 ล้านบาท จากต้นทุนที่ซื้อคืนตกหุ้นละ 0.78 บาท ซึ่งจะได้รับกำไรประมาณ 30 ล้านบาท โดยกำไรที่ได้รับจากหุ้นที่ขายคืนจะถูกนำไปบันทึกเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นของ บริษัท
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า ราคา SUSCO มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อตามแนวเรียงตัวแท่งเทียนที่เกิดขึ้น และเส้นค่าเฉลี่ยที่เรียงตัวขาขึ้น ปรับขึ้นตามกันเป็นแรงหนุนราคา และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นสนับสนุน ทำให้คาดราคามีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้ ทั้งนี้ให้แนวรับที่ 5.85, 5.55 บาท ส่วนแนวต้านที่ 6.20, 6.50 บาท Stop Loss 5.55 บาท
ขณะที่บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่าราคา SUSCO กำลังเดินทางขึ้นไปหาจุดสูงเดิมที่ประมาณ 8 บาท มีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามด้วยความร้อนแรงมา 2 ใน 3 วันน่าจะส่งผลระยะสั้นหวือหวา นักลงทุนใหม่ต้องระวัง ซื้อตอนอ่อนตัว เชื่อว่าจะปลอดภัยกว่าการไล่ราคา
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO ณ เวลา 10.55 น. บวก 0.75 บาท หรือ 12.50% มาที่ 6.75 บาท สูงสุดที่ 7.00 บาท ต่ำสุดที่ 6.45 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.59 พันล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.64% โดยราคาหุ้นเช้านี้ปรับขึ้นแรงหลังมีข่าวผู้บริหารระบุว่า บริษัทมีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท จากการนำหุ้นที่ซื้อคืน ออกมาขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทยอยนำหุ้นที่ซื้อคืนออกมาขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำออกมาขาย 9 ล้านหุ้น ที่ราคา 4.22 บาท/หุ้น จากหุ้นซื้อคืนทั้งหมดที่มี อยู่ 40 ล้านหุ้น ส่วนหุ้นที่เหลือจะทยอยขายออกมาตามจังหวะและความเหมาะสม โดยระบุว่าหุ้นซื้อคืนที่ขายไป 9 ล้านหุ้น บริษัทได้รับเงิน ทั้งสิ้น 37.98 ล้านบาท จากต้นทุนที่ซื้อคืนตกหุ้นละ 0.78 บาท ซึ่งจะได้รับกำไรประมาณ 30 ล้านบาท โดยกำไรที่ได้รับจากหุ้นที่ขายคืนจะถูกนำไปบันทึกเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นของ บริษัท
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่า ราคา SUSCO มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อตามแนวเรียงตัวแท่งเทียนที่เกิดขึ้น และเส้นค่าเฉลี่ยที่เรียงตัวขาขึ้น ปรับขึ้นตามกันเป็นแรงหนุนราคา และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นสนับสนุน ทำให้คาดราคามีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้ ทั้งนี้ให้แนวรับที่ 5.85, 5.55 บาท ส่วนแนวต้านที่ 6.20, 6.50 บาท Stop Loss 5.55 บาท
ขณะที่บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 มี.ค.) ว่าราคา SUSCO กำลังเดินทางขึ้นไปหาจุดสูงเดิมที่ประมาณ 8 บาท มีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามด้วยความร้อนแรงมา 2 ใน 3 วันน่าจะส่งผลระยะสั้นหวือหวา นักลงทุนใหม่ต้องระวัง ซื้อตอนอ่อนตัว เชื่อว่าจะปลอดภัยกว่าการไล่ราคา
Thursday, March 14, 2013
BTS ทรงตัว หลังวิ่ง 25%ตั้งแต่ต้นปี ลุ้นขาย BTSGIFสูึงกว่าคาด หุ้นเทรดต่ำกว่าภูมิภาค
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2556 เวลา 12:56:31 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ปิดเที่ยงที่ 8.75 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.57% มูลค่าการซื้อขาย 345.71 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS แกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากช่วงต้นปีที่ระดับราคา 7 บาท หรือปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 25% โดยราคาหุ้นเคยวิ่งขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุดที่ 8.95 บาท หลังจากนั้นอ่อนตัวลงมา และเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในวันนี้ (RSI=68.89อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง มองว่า ราคาปัจจุบันของ BTS ค่อนข้างถูก โดยซื้อขายที่ระดับ PEG ปี 2556/57 อยู่ที่ 1.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 3.3 เท่าอย่างมาก ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 4 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และ 3 แห่งแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ”
บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” BTS โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 8.90 บาท โดยระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14 มี.ค.) ว่า การขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นได้ในระยะ สั้น เราคิดว่าราคาหุ้นในขณะนี้แสดงถึงราคาขายที่ 5.0-5.5 หมื่นล้านบาทและ 15% holding discount ในการถือหุ้น VGI
หากราคาขายสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท (เกินช่วงราคาที่เคยมีการแจ้งไว้) จะเป็นเซอร์ไพร์สเชิงบวกต่อตลาดและส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อไป จากการประเมินมูลค่า ราคาหุ้น BTS ยังค่อนข้างถูก โดยซื้อขายที่ระดับ PEG ปี 2556/57 อยู่ที่ 1.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 3.3 เท่าอย่างมาก
เราเชื่อว่าแผนการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้น ฐาน (BTSGIF) ของ BTS จะช่วยหนุนให้กำไรหลักของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสองปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนดังนี้ 1) รายได้จากเงินปันผลจากการถือหุ้นใน BTSGIF ที่สัดส่วน 33.33%, 2) รายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินสดที่ได้รับจากการขาย, 3) ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่ได้รับจาก BTSGIF และ 4) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง (โดยให้สมมติฐานว่าเงินสดบางส่วนที่ได้รับจากการขายถูกนำไปชำระคืนหนี้) จากการศึกษาของเรา (อ้างอิงจากราคาขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่ 60,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีโอกาสอาจเกิดขึ้นสูงสุดในมุมมองของเรา) พบว่า กำไรหลักของ BTS จะเพิ่มขึ้น 24% เป็น 2,328 ล้านบาท ในปี 2556/57 และเพิ่มขึ้น 15% มาอยู่ที่ 3,002 ล้านบาทในปี 2557/58
บริษัทมีแนวโน้มที่จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้ กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) จากสมมติฐานช่วงราคาขายที่ 50,000-60,000 ล้านบาท เราคาดว่า BTS จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายจำนวน 8,000-18,000 ล้านบาท (0.67-1.50 บาทต่อหุ้น) ในปี 2556/57 บริษัทอาจบันทึกกำไรพิเศษจากการขายได้สูงถึง 28,000 ล้านบาท (2.34 บาทต่อหุ้น) หากราคาขายอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท
เราได้ทบทวนวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นสำหรับ BTS และเราคิดว่าในขณะนี้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ SOTP (sum-of-the parts) เป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าวิธี DCF ซึ่งเราใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากบริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI (โดย BTS เข้าถือหุ้นอยู่ที่สัดส่วน 67.7%) ได้เข้าจดทะเบียนใน SET เรียบร้อยแล้ว และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF (BTS จะถือหุ้นในสัดส่วน 33.33%) กำลังจะเข้าจดทะเบียนในเร็วๆ นี้ จากการวิเคราะห์สถานการณ์จำลองของเรา (อ้างอิงจากวิธีการประเมินมูลค่าแบบ SOTP และช่วงราคาของการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิอยู่ที่ 50,000-70,000 ล้านบาท) แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย (ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2557) อีก 2-11%
บล.ไทยพาณิชย์ ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ว่า คำแนะนำ “ซื้อ” BTS และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 10 บาท (จาก 7.8บาท) เพื่อสะท้อนถึง: 1) การปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น และ 2) การปรับมูลค่าของธุรกิจสื่อโฆษณา (VGI: +80% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (กลุ่มอสังหาฯ: +40% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) เพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายของเราประกอบด้วย มูลค่าธุรกิจระบบขนส่งมวลชนที่ 5.8 บาท/หุ้น มูลค่าธุรกิจสื่อโฆษณาที่ 2.2 บาท/หุ้น (ราคาตลาด) และมูลค่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 2.0 บาท/หุ้น (PBV 2 เท่า ยังต่ำกว่า PBV ปี 56 เฉลี่ยของกลุ่มอสังหาฯ ที่ 2.6 เท่า) ปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น คือ กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแนวโน้มจ่ายเงินปันผลพิเศษหลังจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ปิดเที่ยงที่ 8.75 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.57% มูลค่าการซื้อขาย 345.71 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS แกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากช่วงต้นปีที่ระดับราคา 7 บาท หรือปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 25% โดยราคาหุ้นเคยวิ่งขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุดที่ 8.95 บาท หลังจากนั้นอ่อนตัวลงมา และเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในวันนี้ (RSI=68.89อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง มองว่า ราคาปัจจุบันของ BTS ค่อนข้างถูก โดยซื้อขายที่ระดับ PEG ปี 2556/57 อยู่ที่ 1.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 3.3 เท่าอย่างมาก ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 4 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และ 3 แห่งแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ”
บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” BTS โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 8.90 บาท โดยระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14 มี.ค.) ว่า การขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ที่อยู่ระหว่างการจัดตั้งจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นได้ในระยะ สั้น เราคิดว่าราคาหุ้นในขณะนี้แสดงถึงราคาขายที่ 5.0-5.5 หมื่นล้านบาทและ 15% holding discount ในการถือหุ้น VGI
หากราคาขายสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท (เกินช่วงราคาที่เคยมีการแจ้งไว้) จะเป็นเซอร์ไพร์สเชิงบวกต่อตลาดและส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อไป จากการประเมินมูลค่า ราคาหุ้น BTS ยังค่อนข้างถูก โดยซื้อขายที่ระดับ PEG ปี 2556/57 อยู่ที่ 1.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 3.3 เท่าอย่างมาก
เราเชื่อว่าแผนการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้น ฐาน (BTSGIF) ของ BTS จะช่วยหนุนให้กำไรหลักของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสองปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนดังนี้ 1) รายได้จากเงินปันผลจากการถือหุ้นใน BTSGIF ที่สัดส่วน 33.33%, 2) รายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินสดที่ได้รับจากการขาย, 3) ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่ได้รับจาก BTSGIF และ 4) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง (โดยให้สมมติฐานว่าเงินสดบางส่วนที่ได้รับจากการขายถูกนำไปชำระคืนหนี้) จากการศึกษาของเรา (อ้างอิงจากราคาขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่ 60,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีโอกาสอาจเกิดขึ้นสูงสุดในมุมมองของเรา) พบว่า กำไรหลักของ BTS จะเพิ่มขึ้น 24% เป็น 2,328 ล้านบาท ในปี 2556/57 และเพิ่มขึ้น 15% มาอยู่ที่ 3,002 ล้านบาทในปี 2557/58
บริษัทมีแนวโน้มที่จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้ กับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) จากสมมติฐานช่วงราคาขายที่ 50,000-60,000 ล้านบาท เราคาดว่า BTS จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายจำนวน 8,000-18,000 ล้านบาท (0.67-1.50 บาทต่อหุ้น) ในปี 2556/57 บริษัทอาจบันทึกกำไรพิเศษจากการขายได้สูงถึง 28,000 ล้านบาท (2.34 บาทต่อหุ้น) หากราคาขายอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท
เราได้ทบทวนวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นสำหรับ BTS และเราคิดว่าในขณะนี้วิธีประเมินมูลค่าหุ้นแบบ SOTP (sum-of-the parts) เป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าวิธี DCF ซึ่งเราใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากบริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI (โดย BTS เข้าถือหุ้นอยู่ที่สัดส่วน 67.7%) ได้เข้าจดทะเบียนใน SET เรียบร้อยแล้ว และ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF (BTS จะถือหุ้นในสัดส่วน 33.33%) กำลังจะเข้าจดทะเบียนในเร็วๆ นี้ จากการวิเคราะห์สถานการณ์จำลองของเรา (อ้างอิงจากวิธีการประเมินมูลค่าแบบ SOTP และช่วงราคาของการขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิอยู่ที่ 50,000-70,000 ล้านบาท) แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย (ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2557) อีก 2-11%
บล.ไทยพาณิชย์ ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ว่า คำแนะนำ “ซื้อ” BTS และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 10 บาท (จาก 7.8บาท) เพื่อสะท้อนถึง: 1) การปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น และ 2) การปรับมูลค่าของธุรกิจสื่อโฆษณา (VGI: +80% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (กลุ่มอสังหาฯ: +40% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) เพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายของเราประกอบด้วย มูลค่าธุรกิจระบบขนส่งมวลชนที่ 5.8 บาท/หุ้น มูลค่าธุรกิจสื่อโฆษณาที่ 2.2 บาท/หุ้น (ราคาตลาด) และมูลค่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 2.0 บาท/หุ้น (PBV 2 เท่า ยังต่ำกว่า PBV ปี 56 เฉลี่ยของกลุ่มอสังหาฯ ที่ 2.6 เท่า) ปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น คือ กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และแนวโน้มจ่ายเงินปันผลพิเศษหลังจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
คลังแย้มมีผู้เล็งซื้อหุ้น TMB หลายกลุ่ม กำลังหารือกับไอเอ็นจี
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2556 เวลา 10:19:39 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้สนใจที่จะซื้อหุ้น ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB หลายกลุ่ม โดยกำลังเจรจากับกลุ่มไอเอ็นจีฯ (ING) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB
ขณะที่ในส่วนกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB เช่นกันนั้นจะให้ผู้สนใจซื้อหุ้น TMB เจรจากับทางไอเอ็นจี ก่อน แล้วค่อยมาหารือกับคลังต่อไป
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้สนใจที่จะซื้อหุ้น ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB หลายกลุ่ม โดยกำลังเจรจากับกลุ่มไอเอ็นจีฯ (ING) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB
ขณะที่ในส่วนกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB เช่นกันนั้นจะให้ผู้สนใจซื้อหุ้น TMB เจรจากับทางไอเอ็นจี ก่อน แล้วค่อยมาหารือกับคลังต่อไป
Wednesday, March 13, 2013
ตลท.เผย ซีเค เพาเวอร์-อมตะ วีเอ็น เตรียมเข้าจดทะเบียนใน Q2-Q3/56
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2556 เวลา 14:43:57 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์รับบริษัทโฮลดิ้งที่มีธุรกิจหลักในต่างประเทศเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ไทย มีผล 1 กันยายน 2555 เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยที่ลงทุนในต่างประเทศสามารถระดมทุนจากตลาดทุนไทย เพื่อขยายกิจการให้เติบโตได้
ขณะนี้มีบริษัทไทย 2 ราย คือ บมจ. ซีเค เพาเวอร์ (CK POWER) และบมจ. อมตะ วีเอ็น (AMATA VN) ที่ยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนภายในไตรมาส 2-3 ปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทลูกของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ประกอบธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Makong Subregion: GMS) อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ที่แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก
โดยในช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมผู้ลงทุนให้เข้า ใจในการลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งมีความแตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนในไทยอื่นๆ อาทิ ด้านกฎหมาย และด้านบัญชี เพื่อเตรียมการในการศึกษาหาข้อมูลการลงทุน รวมทั้งแนะนำสาระสำคัญของหลักเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนของบริษัทโฮลดิ้ง ความน่าสนใจในการลงทุน โอกาสของธุรกิจในต่างประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจัดสัมมนา “การลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ผ่าน Holding Company ไทย" 18 มีนาคมนี้ พร้อมเชิญวิทยากรจากบริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งบริษัทโฮลดิ้งที่เตรียมเข้าจดทะเบียนมาแลกเปลี่ยนมุมมอง
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์รับบริษัทโฮลดิ้งที่มีธุรกิจหลักในต่างประเทศเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ไทย มีผล 1 กันยายน 2555 เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยที่ลงทุนในต่างประเทศสามารถระดมทุนจากตลาดทุนไทย เพื่อขยายกิจการให้เติบโตได้
ขณะนี้มีบริษัทไทย 2 ราย คือ บมจ. ซีเค เพาเวอร์ (CK POWER) และบมจ. อมตะ วีเอ็น (AMATA VN) ที่ยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนภายในไตรมาส 2-3 ปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทลูกของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ประกอบธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Makong Subregion: GMS) อาทิ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ที่แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก
โดยในช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมผู้ลงทุนให้เข้า ใจในการลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งมีความแตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนในไทยอื่นๆ อาทิ ด้านกฎหมาย และด้านบัญชี เพื่อเตรียมการในการศึกษาหาข้อมูลการลงทุน รวมทั้งแนะนำสาระสำคัญของหลักเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนของบริษัทโฮลดิ้ง ความน่าสนใจในการลงทุน โอกาสของธุรกิจในต่างประเทศ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจัดสัมมนา “การลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ผ่าน Holding Company ไทย" 18 มีนาคมนี้ พร้อมเชิญวิทยากรจากบริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งบริษัทโฮลดิ้งที่เตรียมเข้าจดทะเบียนมาแลกเปลี่ยนมุมมอง
Tuesday, March 12, 2013
BJC หวังยอดขายปีนี้โตมากกว่า 15% หลังเข้าซื้อหุ้นไทอัน
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2556 เวลา 12:07:53 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายปีนี้เติบโตมากกว่า 15% โดยคาดว่าจะรับรู้ปีละประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มในปีนี้ หลังเข้าซื้อหุ้นบริษัท ไทอัน เวียดนาม จอยส์สต็อก คัมปะนี (Thai An)
ขณะที่วานนี้ BJC ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติให้ บีเจซี อินเตอร์เนชั่นแนล คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BJC ถือหุ้น 100% เข้าซื้อหุ้นของไทอัน สัดส่วน 65% โดยไทอันดำเนินธุรกิจจัดจำหน่าย นำเข้า ส่งออก ค้าปลีก ค้าส่ง สินค้าอุปโภค บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทคาดจะได้ข้อสรุปการเจรจาซื้อธุรกิจค้าปลีกในประเทศ เวียดนาม ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับงบลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 3-4 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการขยาย กำลังการผลิต และซื้อกิจการ
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดขายปีนี้เติบโตมากกว่า 15% โดยคาดว่าจะรับรู้ปีละประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มในปีนี้ หลังเข้าซื้อหุ้นบริษัท ไทอัน เวียดนาม จอยส์สต็อก คัมปะนี (Thai An)
ขณะที่วานนี้ BJC ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการได้อนุมัติให้ บีเจซี อินเตอร์เนชั่นแนล คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BJC ถือหุ้น 100% เข้าซื้อหุ้นของไทอัน สัดส่วน 65% โดยไทอันดำเนินธุรกิจจัดจำหน่าย นำเข้า ส่งออก ค้าปลีก ค้าส่ง สินค้าอุปโภค บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทคาดจะได้ข้อสรุปการเจรจาซื้อธุรกิจค้าปลีกในประเทศ เวียดนาม ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับงบลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 3-4 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการขยาย กำลังการผลิต และซื้อกิจการ
DTAC ปี 56 โตตามตลาดสมาร์ทโฟน เทคนิคบวก รอบเช้าปรับขึ้นเกือบ 3%
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2556 เวลา 11:43:21 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ณ เวลา 11.45 น. บวก 2.50 บาท หรือ 2.92% มาที่ 88.00 บาท สูงสุดที่ 88.25 บาท ต่ำสุดที่ 85.75 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 794.56 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 8 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 4 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 1 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 101.81 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.34%
บล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (12 มี.ค.) ว่า แนวโน้มผลประกอบการของ DTAC ปี 56 ยังเติบโตได้ดีตามทิศทางอุตสาหกรรมผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรายได้จากการให้บริการข้อมูลที่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันผลประกอบการใน อนาคต ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ส่วนการลงทุนขยายโครงข่ายให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz. บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2/56 โดยตั้งงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 8 พันล้านบาท คงประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ราว 13,530 ล้านบาท เติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ด้านเทคนิคราคาแกว่งตัวในกรอบ sideway 87.50 โดยราคาเคลื่อนไหวเหนือแนวเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วันที่ปรับขึ้นตามกัน มีแนวรับอยู่ที่ 84.50 เป็นแนวรับสำคัญ หากยืน 84.50 ได้ ยังมีแนวโน้มว่าจะรักษาทิศทางบวกได้
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ณ เวลา 11.45 น. บวก 2.50 บาท หรือ 2.92% มาที่ 88.00 บาท สูงสุดที่ 88.25 บาท ต่ำสุดที่ 85.75 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 794.56 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 8 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 4 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 1 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 101.81 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.34%
บล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (12 มี.ค.) ว่า แนวโน้มผลประกอบการของ DTAC ปี 56 ยังเติบโตได้ดีตามทิศทางอุตสาหกรรมผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรายได้จากการให้บริการข้อมูลที่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันผลประกอบการใน อนาคต ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ส่วนการลงทุนขยายโครงข่ายให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz. บริษัทตั้งเป้าว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2/56 โดยตั้งงบลงทุนเบื้องต้นไว้ที่ระดับ 8 พันล้านบาท คงประมาณการกำไรสุทธิปี 56 ราว 13,530 ล้านบาท เติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ด้านเทคนิคราคาแกว่งตัวในกรอบ sideway 87.50 โดยราคาเคลื่อนไหวเหนือแนวเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วันที่ปรับขึ้นตามกัน มีแนวรับอยู่ที่ 84.50 เป็นแนวรับสำคัญ หากยืน 84.50 ได้ ยังมีแนวโน้มว่าจะรักษาทิศทางบวกได้
SIRI ปรับเพิ่มเป้ายอดขายไตรมาส 1/56 เป็น 2.1 หมื่นล้านบาท
วันอังคารที่ 12 มีนาคม 2556 เวลา 10:54:35 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัดสินใจปรับประมาณการตัวเลขเป้าหมายยอดขายในไตรมาส 1/56 จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 21,500 ล้านบาท หลังยอดขายรวมของบริษัทในขณะนี้ (1 ม.ค.–11 มี.ค.56) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 17,800 ล้านบาทแล้ว
จากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะยอดขายในเดือนก.พ. 56 ที่สามารถทำได้ถึง 13,500 ล้านบาท พุ่งสูงสุดในการสร้างยอดขายได้ในภายในเดือนเดียว
บริษัทจึงได้ตัดสินใจปรับประมาณการตัวเลขเป้าหมายยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2556 จาก 20,000 ล้านบาทเป็น 21,500 ล้านบาท นับเป็นเป้าหมายยอดขายรายไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ตั้งเป้าหมายยอด ขายภายในช่วงไตรมาสเดียวอีกครั้ง หลังจากในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดถึง 16,245 ล้านบาท
ที่ผ่านมาโครงการต่างๆของบริษัทฯ ได้รับความสนใจและกระแสการตอบรับจากลูกค้าเป็นจำนวนมากรวมถึงยอดขายรวมจาก งาน แสนสิริ ไลฟ์คัมส์โฮม ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทยังมีความมั่นใจกับเป้าหมายยอดขายในปีนี้ซึ่งตั้งไว้ที่ 48,000 ล้านบาทว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทได้ตัดสินใจปรับประมาณการตัวเลขเป้าหมายยอดขายในไตรมาส 1/56 จาก 20,000 ล้านบาท เป็น 21,500 ล้านบาท หลังยอดขายรวมของบริษัทในขณะนี้ (1 ม.ค.–11 มี.ค.56) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 17,800 ล้านบาทแล้ว
จากการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทเห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะยอดขายในเดือนก.พ. 56 ที่สามารถทำได้ถึง 13,500 ล้านบาท พุ่งสูงสุดในการสร้างยอดขายได้ในภายในเดือนเดียว
บริษัทจึงได้ตัดสินใจปรับประมาณการตัวเลขเป้าหมายยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2556 จาก 20,000 ล้านบาทเป็น 21,500 ล้านบาท นับเป็นเป้าหมายยอดขายรายไตรมาสที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ตั้งเป้าหมายยอด ขายภายในช่วงไตรมาสเดียวอีกครั้ง หลังจากในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดถึง 16,245 ล้านบาท
ที่ผ่านมาโครงการต่างๆของบริษัทฯ ได้รับความสนใจและกระแสการตอบรับจากลูกค้าเป็นจำนวนมากรวมถึงยอดขายรวมจาก งาน แสนสิริ ไลฟ์คัมส์โฮม ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้บริษัทยังมีความมั่นใจกับเป้าหมายยอดขายในปีนี้ซึ่งตั้งไว้ที่ 48,000 ล้านบาทว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
Monday, March 11, 2013
BJC สอยหุ้นไทอัน เวียดนามฯ 65% ใช้เงินลงทุน 989.96 ลบ.
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 13:28:18 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บ่ายวันนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บีเจซี อินเตอร์เนชั่นแนล คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BJC ถือหุ้น 100% เข้าซื้อหุ้นของบริษัท ไทอัน เวียดนาม จอยส์สต็อก คัมปะนี (Thai An) ซึ่งทำธุรกิจลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่าย นำเข้า ส่งออก ค้าปลีก ค้าส่ง สินค้าอุปโภคบริโภคในสัดส่วน 65% โดยใช้เงินลงทุน 989.96 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบริษัทในหลายด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ในด้านสินค้า และบริการ ทำให้บริษัทสามารถกระจายสินค้า และบริการด้านอุปโภคและบริโภค ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงได้มากขึ้น และต่อยอดสินค้าเดิม ตลอดจนสินค้าและบริการด้านอื่นๆ ของบริษัท
นอกจากนี้ ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ทำให้บริษัทสามารถขยายช่องทางจัด จำหน่ายในประเทศเวียดนาม และในภูมิภาคใกล้เคียงผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของไทอัน
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บ่ายวันนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บีเจซี อินเตอร์เนชั่นแนล คัมปะนี ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ BJC ถือหุ้น 100% เข้าซื้อหุ้นของบริษัท ไทอัน เวียดนาม จอยส์สต็อก คัมปะนี (Thai An) ซึ่งทำธุรกิจลงทุนในธุรกิจจัดจำหน่าย นำเข้า ส่งออก ค้าปลีก ค้าส่ง สินค้าอุปโภคบริโภคในสัดส่วน 65% โดยใช้เงินลงทุน 989.96 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของบริษัทในหลายด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ในด้านสินค้า และบริการ ทำให้บริษัทสามารถกระจายสินค้า และบริการด้านอุปโภคและบริโภค ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงได้มากขึ้น และต่อยอดสินค้าเดิม ตลอดจนสินค้าและบริการด้านอื่นๆ ของบริษัท
นอกจากนี้ ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ทำให้บริษัทสามารถขยายช่องทางจัด จำหน่ายในประเทศเวียดนาม และในภูมิภาคใกล้เคียงผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของไทอัน
HMPRO ขยับขึ้น หลังเพิ่มรูปแบบร้านค้าใหม่ รุกเปิดสาขามาเลเซีย 2 แห่ง
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 12:14:34 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 12.05 น. บวก 0.10 บาท หรือ 0.60% มาที่ 16.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 110.72 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.53% ทั้งนี้ ราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้นจากระดับราคา 16.20 บาท ในวันที่ 4 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 16.60 บาท ในวันนี้ (RSI=74) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 9 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” HMPRO จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17.35 บาท โดยราคาหุ้น HMPRO ในปัจจุบันเทรดที่ระดับ P/E 43.62 เท่า และ P/BV 11.85 เท่า
บล.ดีบีเอส วิคคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น HMPRO โดยให้ราคาพื้นฐานที่ 19.70 บาท เนื่องจาก HMPRO ได้เพิ่มรูปแบบร้านค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ “Mega Home Center (MHC)” โดยผลิตภัณฑ์ที่วางขายใน MHC จะเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง (Construction Material: CM) ในสัดส่วน 50% และที่เหลือ 50% เป็นสินค้าสำหรับการตกแต่ง (Decorative Product) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความต้องการสินค้า ประเภทวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มผู้รับเหมา และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่ คาดว่าจะเปิดสาขาแบบ MHC 3 แห่งในไตรมาส 4/56 และปี 57 เปิดอีก 4-5 แห่ง สำหรับยอดขายต่อสาขาของ MHC คาดว่าจะสูงเป็น 1.5 เท่าของสาขา HMPRO ปัจจุบัน สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ จะมีเปิดสาขาที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 2 แห่งในปี 57 (ในไตรมาส 1/57 และไตรมาส 4/57) นอกจากนั้นกำลังพิจารณานำโครงการที่หัวหิน ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่ามากที่สุดขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยขนาดกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนนี้จะสรุปในกลางปี 56 ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 56-57 จะขยายตัวแข็งแกร่งมาก 31% และ 37% ตามลำดับ
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า โฉมหน้าระบบขนส่งของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างมากใน 7 ปีข้างหน้าด้วยการลงทุนด้านโลจิสติกส์ 2 ล้านล้านบาท ทั้งระบบถนน ราง ขนส่งทางน้ำ และอากาศ การขนส่งทั้งประเทศจะถูกเชื่อมต่อครบวงจรตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP เฉลี่ยปีละ 1.3% สร้างงานเพิ่ม 5 แสนตำแหน่ง ลดต้นทุนด้านการขนส่งจากปัจจุบัน 15.2% ของ GDP เหลือ 13.2% ลดการนำเข้าน้ำมัน กระจายความเจริญออกนอกกรุงเทพ และเพิ่มการค้าตามชายแดน และด้วยการร่วมลงทุนจากเอกชนในรูปแบบ PPP (คาดร่างพรบ. PPP จะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาต้น เม.ย.นี้) ทำให้หนี้สาธารณะไม่สูงเกิน 50% ของ GDP หุ้นที่ได้ประโยชน์มีมากมายเช่น STEC, CK, ITD, SEAFCO, AOT, DCON, TMT, DRT, HMPRO, KTB, KBANK, BTS, BGH, ERW, PS, SIRI
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 12.05 น. บวก 0.10 บาท หรือ 0.60% มาที่ 16.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 110.72 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.53% ทั้งนี้ ราคาหุ้น HMPRO ปรับขึ้นจากระดับราคา 16.20 บาท ในวันที่ 4 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 16.60 บาท ในวันนี้ (RSI=74) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 9 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” HMPRO จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 17.35 บาท โดยราคาหุ้น HMPRO ในปัจจุบันเทรดที่ระดับ P/E 43.62 เท่า และ P/BV 11.85 เท่า
บล.ดีบีเอส วิคคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น HMPRO โดยให้ราคาพื้นฐานที่ 19.70 บาท เนื่องจาก HMPRO ได้เพิ่มรูปแบบร้านค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ “Mega Home Center (MHC)” โดยผลิตภัณฑ์ที่วางขายใน MHC จะเป็นการผสมผสานระหว่างสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง (Construction Material: CM) ในสัดส่วน 50% และที่เหลือ 50% เป็นสินค้าสำหรับการตกแต่ง (Decorative Product) โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความต้องการสินค้า ประเภทวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มผู้รับเหมา และกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่ คาดว่าจะเปิดสาขาแบบ MHC 3 แห่งในไตรมาส 4/56 และปี 57 เปิดอีก 4-5 แห่ง สำหรับยอดขายต่อสาขาของ MHC คาดว่าจะสูงเป็น 1.5 เท่าของสาขา HMPRO ปัจจุบัน สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ จะมีเปิดสาขาที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 2 แห่งในปี 57 (ในไตรมาส 1/57 และไตรมาส 4/57) นอกจากนั้นกำลังพิจารณานำโครงการที่หัวหิน ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่ามากที่สุดขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยขนาดกองทุนจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนนี้จะสรุปในกลางปี 56 ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 56-57 จะขยายตัวแข็งแกร่งมาก 31% และ 37% ตามลำดับ
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า โฉมหน้าระบบขนส่งของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างมากใน 7 ปีข้างหน้าด้วยการลงทุนด้านโลจิสติกส์ 2 ล้านล้านบาท ทั้งระบบถนน ราง ขนส่งทางน้ำ และอากาศ การขนส่งทั้งประเทศจะถูกเชื่อมต่อครบวงจรตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP เฉลี่ยปีละ 1.3% สร้างงานเพิ่ม 5 แสนตำแหน่ง ลดต้นทุนด้านการขนส่งจากปัจจุบัน 15.2% ของ GDP เหลือ 13.2% ลดการนำเข้าน้ำมัน กระจายความเจริญออกนอกกรุงเทพ และเพิ่มการค้าตามชายแดน และด้วยการร่วมลงทุนจากเอกชนในรูปแบบ PPP (คาดร่างพรบ. PPP จะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาต้น เม.ย.นี้) ทำให้หนี้สาธารณะไม่สูงเกิน 50% ของ GDP หุ้นที่ได้ประโยชน์มีมากมายเช่น STEC, CK, ITD, SEAFCO, AOT, DCON, TMT, DRT, HMPRO, KTB, KBANK, BTS, BGH, ERW, PS, SIRI
BLAND ปรับขึ้น หลังกำไร 3Q55 พลิกมีกำไร เล็งนำอิมแพคเข้า REIT ดันกำไรโตแกร่ง
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 12:32:07 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ณ เวลา 12.27 น. บวก 0.02 บาท หรือ 0.89% มาที่ 2.26 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 757.83 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.56% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 2.10 บาท ในวันที่ 4 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2.26 บาท ในวันนี้ และเป็นราคาสูงใหม่ในรอบกว่า 4 ปี ทั้งนี้ปัจจุบันราคาหุ้น BLAND เทรดที่ P/E 26.31 เท่า และ P/BV 1.43 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า BLAND เป็นหุ้นเด่นเล่นสั้นรายวัน เนื่องจากหลังมีกำไรไตรมาส 3/55 (งบสิ้นสุด ธ.ค. 55) ดีมากที่ 722 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 267 ล้านบาท ในไตรมาส 3/54 และเพิ่มขึ้น 65% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ฟื้นตัวจากน้ำท่วมในปี 54 และมีกำไรจากการซื้อหุ้นอิมแพคคืน
ทั้งนี้ บริษัทจะนำอิมแพคเข้า REIT ซึ่งจะทำให้ BLAND มีกำไรหลายพันล้านบาท โดยผู้บริหาร (กลุ่มกาญจนพาสน์) นับตั้งแต่ต้นปีเก็บหุ้นรวม 51 ล้านหุ้นที่ราคาเฉลี่ย 1.73 บาท มูลค่าเหมาะสม 2.56 บาท (CONSENSUS)
ด้าน บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า ในด้านสัญญาณทางเทคนิค BLAND ทำยอดสูงสุดใหม่ เนื่อง จากทะลุยอดสูงสุดเดิม ราคามีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำยอดสูงสุดไว้ที่ 2.22 บาท และวันก่อนทะลุผ่านไปได้ ด้วยปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น เป็นแนวโน้มขึ้นต่อ โดยคาดว่าจะทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 2.30 บาท เป็นจุดขายทำกำไรระยะสั้น
ขณะที่ แนวโน้มรองขาขึ้น ฐานราคาอยู่ในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ในขณะที่มีแรงซื้อหุ้นเป็นระยะ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ถือลงทุนระยะกลาง ยังคงมีจังหวะซื้อหุ้นเพิ่มต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 2.40 และ 2.50 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ณ เวลา 12.27 น. บวก 0.02 บาท หรือ 0.89% มาที่ 2.26 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 757.83 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.56% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 2.10 บาท ในวันที่ 4 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 2.26 บาท ในวันนี้ และเป็นราคาสูงใหม่ในรอบกว่า 4 ปี ทั้งนี้ปัจจุบันราคาหุ้น BLAND เทรดที่ P/E 26.31 เท่า และ P/BV 1.43 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า BLAND เป็นหุ้นเด่นเล่นสั้นรายวัน เนื่องจากหลังมีกำไรไตรมาส 3/55 (งบสิ้นสุด ธ.ค. 55) ดีมากที่ 722 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 267 ล้านบาท ในไตรมาส 3/54 และเพิ่มขึ้น 65% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ฟื้นตัวจากน้ำท่วมในปี 54 และมีกำไรจากการซื้อหุ้นอิมแพคคืน
ทั้งนี้ บริษัทจะนำอิมแพคเข้า REIT ซึ่งจะทำให้ BLAND มีกำไรหลายพันล้านบาท โดยผู้บริหาร (กลุ่มกาญจนพาสน์) นับตั้งแต่ต้นปีเก็บหุ้นรวม 51 ล้านหุ้นที่ราคาเฉลี่ย 1.73 บาท มูลค่าเหมาะสม 2.56 บาท (CONSENSUS)
ด้าน บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 มี.ค.) ว่า ในด้านสัญญาณทางเทคนิค BLAND ทำยอดสูงสุดใหม่ เนื่อง จากทะลุยอดสูงสุดเดิม ราคามีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำยอดสูงสุดไว้ที่ 2.22 บาท และวันก่อนทะลุผ่านไปได้ ด้วยปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น เป็นแนวโน้มขึ้นต่อ โดยคาดว่าจะทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 2.30 บาท เป็นจุดขายทำกำไรระยะสั้น
ขณะที่ แนวโน้มรองขาขึ้น ฐานราคาอยู่ในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ในขณะที่มีแรงซื้อหุ้นเป็นระยะ ดังนั้นสำหรับผู้ที่ถือลงทุนระยะกลาง ยังคงมีจังหวะซื้อหุ้นเพิ่มต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 2.40 และ 2.50 บาท
ระวังแรงขาย NWR พุ่งทะลุทุกแนวต้าน เก็งประมูลงานรัฐฯ-ปันผลดี-กำไรโต
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2556 เวลา 10:45:52 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ณ เวลา 10.46 น. บวก 0.78 บาท หรือ 20.53% มาที่ 4.58 บาท สูงสุดที่ 4.80 บาท ต่ำสุดที่ 4.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 2 พันล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ตามมูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาเข้าเขตซื้อมากเกินไป ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.69 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.47%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) คาดว่า การที่ราคาหุ้น NWR ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากคาดว่าหลังบริษัทได้รับเงิน 1.5-2 พันล้านบาท จะประมูลงานภาครัฐได้เป็นจำนวนมาก เป้าหมายคือ 14 พันล้านบาท ภายใน 18 เดือน เทียบกับปี 55 ที่ประมูลได้ 5,354 ล้านบาท, ปันผลปี 55 อยู่ในระดับที่น่าพอใจคือ 0.12 บาท อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเป็น 3.2% และมีมูลค่าแฝงของวอร์แรนท์ก่อน XW รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานสดใส โดยคาดว่าอัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้สูงเป็น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามคำแนะนำล่าสุดคือ "เต็มมูลค่า" (Fully Valued) P/E ปี 56 และ 57 สูงเป็น 19.2 และ 18.7 เท่า ตามลำดับ แม้ยังไม่รวม dilution effect จำนวนมากในอนาคต คือ 21% หากคิดเฉพาะหุ้นเพิ่มทุน RO และ PP แต่หากรวมวอร์แรนท์ด้วยจะสูงเป็น 30% ในกรณี aggressive ให้ราคาพื้นฐานเท่า P/E 20 เท่า จะได้ราคาพื้นฐาน 4.00 บาท จากปัจจุบันใช้ P/E 15 เท่า ราคาพื้นฐาน 2.97 บาท
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) ว่า แท่งเทียนสีขาวยาวที่ปิดจุดสูงแสดงถึงแรงซื้อเก็งกำไรหนาแน่น ระยะสั้นเน้นถือหรือซื้อเก็งกำไรเมื่อปรับตัวเหนือ 3.70 ได้เท่านั้น (ต่ำกว่าหลีกเลี่ยง) การปรับตัวคาดเป็นการปรับเพื่อขึ้นต่อตามการเรียงตัวSMA แนวรับ 3.70** บาท แนวต้าน 3.88, 4.00 บาท Stop Loss 3.70 บาท
ขณะที่บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่าในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) ว่า ราคา NWR ปรับตัวขึ้นร้อนแรงทำจุดสูงใหม่ที่สัญญาณยังไม่สามารถทำจุดสูงได้ ดังการขายทำกำไรตรงนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง แนวต้านสำคัญ 4.00 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ณ เวลา 10.46 น. บวก 0.78 บาท หรือ 20.53% มาที่ 4.58 บาท สูงสุดที่ 4.80 บาท ต่ำสุดที่ 4.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 2 พันล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ตามมูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ราคาเข้าเขตซื้อมากเกินไป ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.69 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.47%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) คาดว่า การที่ราคาหุ้น NWR ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากคาดว่าหลังบริษัทได้รับเงิน 1.5-2 พันล้านบาท จะประมูลงานภาครัฐได้เป็นจำนวนมาก เป้าหมายคือ 14 พันล้านบาท ภายใน 18 เดือน เทียบกับปี 55 ที่ประมูลได้ 5,354 ล้านบาท, ปันผลปี 55 อยู่ในระดับที่น่าพอใจคือ 0.12 บาท อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเป็น 3.2% และมีมูลค่าแฝงของวอร์แรนท์ก่อน XW รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานสดใส โดยคาดว่าอัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้สูงเป็น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามคำแนะนำล่าสุดคือ "เต็มมูลค่า" (Fully Valued) P/E ปี 56 และ 57 สูงเป็น 19.2 และ 18.7 เท่า ตามลำดับ แม้ยังไม่รวม dilution effect จำนวนมากในอนาคต คือ 21% หากคิดเฉพาะหุ้นเพิ่มทุน RO และ PP แต่หากรวมวอร์แรนท์ด้วยจะสูงเป็น 30% ในกรณี aggressive ให้ราคาพื้นฐานเท่า P/E 20 เท่า จะได้ราคาพื้นฐาน 4.00 บาท จากปัจจุบันใช้ P/E 15 เท่า ราคาพื้นฐาน 2.97 บาท
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) ว่า แท่งเทียนสีขาวยาวที่ปิดจุดสูงแสดงถึงแรงซื้อเก็งกำไรหนาแน่น ระยะสั้นเน้นถือหรือซื้อเก็งกำไรเมื่อปรับตัวเหนือ 3.70 ได้เท่านั้น (ต่ำกว่าหลีกเลี่ยง) การปรับตัวคาดเป็นการปรับเพื่อขึ้นต่อตามการเรียงตัวSMA แนวรับ 3.70** บาท แนวต้าน 3.88, 4.00 บาท Stop Loss 3.70 บาท
ขณะที่บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่าในบทวิเคราะห์ (11 มี.ค.) ว่า ราคา NWR ปรับตัวขึ้นร้อนแรงทำจุดสูงใหม่ที่สัญญาณยังไม่สามารถทำจุดสูงได้ ดังการขายทำกำไรตรงนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวัง แนวต้านสำคัญ 4.00 บาท
Friday, March 8, 2013
MLINK วิ่งแรงในรอบ 6 ปี 10 เดือน กูรูส่องลดพาร์-เพิ่มทุนหวังล้างขาดทุนสะสม
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 14:39:25 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK ณ เวลา 14.27 น.อยู่ที่ระดับ 2.90 บาท บวก 0.42 บาท หรือ 16.94% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 6 ปี 10 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 2.90 บาท เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2549
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (4 ม.ค. 2556) ว่า MLINK แจ้งผลกำไร 962 ล้านบาท แม้ว่ารายการเกือบทั้งหมดจะมาจากการขายเงินลงทุนออกไปเมื่อตอนกลางปี และเป็นกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ แต่สิ่งที่กำลังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือ MLINK จะหมดภาระไปกว่า 1.8 พันล้านบาท และเหลือหนี้สถาบันการเงินก้อนไม่ใหญ่มากที่ต้องชำระไปตามงวดเท่านั้น
ผลตามมาก็คือขาดทุนสะสมลดลงฮวบ ดูตามเกณฑ์นี้ล้วนสามารถแก้ไขได้ไม่ยากจากการลดพาร์และอาจเพิ่มทุนอีกสัก ก้อนในราคาใกล้กระดานก็จะล้างขาดทุนนี้ไปอย่างรวดเร็ว โดยกำลังมองว่า MLINK กำลังพลิกสถานะกลับมาเป็นผู้ปลอดหนี้ ปลอดขาดทุนสะสม และเตรียมตัวรับเพื่อนใหม่แน่ แนวต้านทางเทคนิคเก็งไว้แถว ๆ 2 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK ณ เวลา 14.27 น.อยู่ที่ระดับ 2.90 บาท บวก 0.42 บาท หรือ 16.94% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในรอบ 6 ปี 10 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 2.90 บาท เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2549
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (4 ม.ค. 2556) ว่า MLINK แจ้งผลกำไร 962 ล้านบาท แม้ว่ารายการเกือบทั้งหมดจะมาจากการขายเงินลงทุนออกไปเมื่อตอนกลางปี และเป็นกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ แต่สิ่งที่กำลังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือ MLINK จะหมดภาระไปกว่า 1.8 พันล้านบาท และเหลือหนี้สถาบันการเงินก้อนไม่ใหญ่มากที่ต้องชำระไปตามงวดเท่านั้น
ผลตามมาก็คือขาดทุนสะสมลดลงฮวบ ดูตามเกณฑ์นี้ล้วนสามารถแก้ไขได้ไม่ยากจากการลดพาร์และอาจเพิ่มทุนอีกสัก ก้อนในราคาใกล้กระดานก็จะล้างขาดทุนนี้ไปอย่างรวดเร็ว โดยกำลังมองว่า MLINK กำลังพลิกสถานะกลับมาเป็นผู้ปลอดหนี้ ปลอดขาดทุนสะสม และเตรียมตัวรับเพื่อนใหม่แน่ แนวต้านทางเทคนิคเก็งไว้แถว ๆ 2 บาท
ANAN ทำนิวไฮ เก็งยอดจองซื้อแกร่งหนุนราคาหุ้น 1H56
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 14:11:51 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ปิดตลาดเช้าบวก 0.10 บาท หรือ 2.20% มาที่ 4.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 135.80 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.66% ทั้งนี้ ราคาหุ้น ANAN ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 4.24 บาท ในวันที่ 21 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 4.64 บาท ขณะที่ ราคาหุ้น ANAN เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป โดยเส้น RSI=86.85 จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” ANAN โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.58 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (8 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ANAN โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.40 บาท เนื่องจากเราคาดยอดจองซื้อที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อราคาหุ้นใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 56
ขณะที่ คาดว่ากำไรสุทธิจะพลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 287 ล้านบาทสำหรับปี 55 เป็นกำไรสุทธิ 1.4 พันล้านบาท สำหรับปี 56 หนุนโดยรายได้ขยายตัว 90% และ PPA หรือรายการจัดสรรราคาซื้อลดลงมาก จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดจองซื้อรอรับรู้รายได้รวม 8.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 55 ซึ่งการันตีประมารการรายได้ปี 56 ของเราที่ 69% และปี 57 ที่ 19% โดยตลาดจะจับตามองกระแสตอบรับจากการเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากอัตราการจองซื้อเริ่มแรกจะเป็นปัจจัยชี้นำความชัดเจนของรายได้และ อัตรากำไรสุทธิในอนาคต
ด้านสัญญาณทางเทคนิคแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากเราคาดว่าหุ้นจะกลับมาคึกคักอีกรอบหลังจากราคาหุ้นดีดตัวขึ้นทะลุ ทำจุดสูงสุดใหม่ ขณะทีเครื่องมือทางเทคนิคกำลังตัดขึ้นเป็นบวก สอดคล้องกับวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (8 มี.ค.) ว่า ANAN (เป้า Consensus ~5.6 บาท) เป็น 1 ในหุ้นกลุ่มบ้านที่เราแนะนำให้ซื้อก่อนหน้านี้มาตลอดโดยเราประเมินจากผลการ ดำเนินงานของ ANAN ปี 56 จะพลิกกลับเป็นบวกได้ หลังเริ่มมีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4
ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจด้วย PE เพียง 9.3 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มบ้าน ~13-14 เท่า) ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันพ้นราคาจอง IPO ที่ 4.2 บาท แล้วคาดจะไม่มีแรงขายทำกำไรแรงๆ ออกมาเช่นในช่วงที่ยังซื้อขายที่ระดับ 4.0 - 4.2 บาท (ช่วงที่เราแนะนำซื้อ)
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ปิดตลาดเช้าบวก 0.10 บาท หรือ 2.20% มาที่ 4.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 135.80 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.66% ทั้งนี้ ราคาหุ้น ANAN ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 4.24 บาท ในวันที่ 21 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 4.64 บาท ขณะที่ ราคาหุ้น ANAN เริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป โดยเส้น RSI=86.85 จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” ANAN โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.58 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (8 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ANAN โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.40 บาท เนื่องจากเราคาดยอดจองซื้อที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อราคาหุ้นใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 56
ขณะที่ คาดว่ากำไรสุทธิจะพลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 287 ล้านบาทสำหรับปี 55 เป็นกำไรสุทธิ 1.4 พันล้านบาท สำหรับปี 56 หนุนโดยรายได้ขยายตัว 90% และ PPA หรือรายการจัดสรรราคาซื้อลดลงมาก จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดจองซื้อรอรับรู้รายได้รวม 8.7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 55 ซึ่งการันตีประมารการรายได้ปี 56 ของเราที่ 69% และปี 57 ที่ 19% โดยตลาดจะจับตามองกระแสตอบรับจากการเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากอัตราการจองซื้อเริ่มแรกจะเป็นปัจจัยชี้นำความชัดเจนของรายได้และ อัตรากำไรสุทธิในอนาคต
ด้านสัญญาณทางเทคนิคแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากเราคาดว่าหุ้นจะกลับมาคึกคักอีกรอบหลังจากราคาหุ้นดีดตัวขึ้นทะลุ ทำจุดสูงสุดใหม่ ขณะทีเครื่องมือทางเทคนิคกำลังตัดขึ้นเป็นบวก สอดคล้องกับวอลุ่มที่เพิ่มขึ้น
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (8 มี.ค.) ว่า ANAN (เป้า Consensus ~5.6 บาท) เป็น 1 ในหุ้นกลุ่มบ้านที่เราแนะนำให้ซื้อก่อนหน้านี้มาตลอดโดยเราประเมินจากผลการ ดำเนินงานของ ANAN ปี 56 จะพลิกกลับเป็นบวกได้ หลังเริ่มมีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 4
ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจด้วย PE เพียง 9.3 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มบ้าน ~13-14 เท่า) ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันพ้นราคาจอง IPO ที่ 4.2 บาท แล้วคาดจะไม่มีแรงขายทำกำไรแรงๆ ออกมาเช่นในช่วงที่ยังซื้อขายที่ระดับ 4.0 - 4.2 บาท (ช่วงที่เราแนะนำซื้อ)
TCAP ถูกสุดกลุ่มแบงก์กูรูจัดเป้าใหม่ กำไรพิเศษหนุนQ1 เตรียมทดสอบแนวต้าน 47 บ.
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 12:10:37 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ณ เวลา 12.10 น. บวก 1.00 บาท หรือ 2.22% มาที่ 46.00 บาท สูงสุดที่ 46.25 บาท ต่ำสุดที่ 45.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 381.85 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.54% ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 3 แห่งแนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 48.25 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 มี.ค.) ว่า ยังคงคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลการดำเนินงานปกติ ขณะที่การขาย TLIFE จะทำให้ TCAP มีความยืดหยุ่นในการบริหารและดำเนินกิจการเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะมีการบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 1/56 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และมี discount ในแง่ของ PBV valuation ถึง 40% เมื่อเทียบกับกลุ่ม ซึ่งเรามองว่า discount ดังกล่าวสูงเกินไป ทั้งนี้ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 55.00 บาท และยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" เป็น 1 ในหุ้น Top pick ของกลุ่ม
ด้านเทคนิคบล.เกียรตินาคินระบุในบทวิเคราะห์ (7 มี.ค.) ว่าราคาหุ้น TCAP ปิดเป็นแนวโน้มทางขาขึ้น ยืน 45.50 บาทถือต่อรอขายได้ โดยให้แนวรับที่ 45.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 47.00 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ณ เวลา 12.10 น. บวก 1.00 บาท หรือ 2.22% มาที่ 46.00 บาท สูงสุดที่ 46.25 บาท ต่ำสุดที่ 45.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 381.85 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.54% ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 3 แห่งแนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 48.25 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 มี.ค.) ว่า ยังคงคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องของผลการดำเนินงานปกติ ขณะที่การขาย TLIFE จะทำให้ TCAP มีความยืดหยุ่นในการบริหารและดำเนินกิจการเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะมีการบันทึกกำไรพิเศษในไตรมาส 1/56 ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และมี discount ในแง่ของ PBV valuation ถึง 40% เมื่อเทียบกับกลุ่ม ซึ่งเรามองว่า discount ดังกล่าวสูงเกินไป ทั้งนี้ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 55.00 บาท และยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" เป็น 1 ในหุ้น Top pick ของกลุ่ม
ด้านเทคนิคบล.เกียรตินาคินระบุในบทวิเคราะห์ (7 มี.ค.) ว่าราคาหุ้น TCAP ปิดเป็นแนวโน้มทางขาขึ้น ยืน 45.50 บาทถือต่อรอขายได้ โดยให้แนวรับที่ 45.50 บาท ส่วนแนวต้านที่ 47.00 บาท
LOXLEY แรงในรอบ 9 ปี 2 เดือน มองรับผลดีจ่ายหุ้นปันผล-เพิ่มทุนขยายธุรกิจ
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 11:59:59 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ณ เวลา 11.46 น. อยู่ที่ระดับ 7.40 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงแรงในรอบ 9 ปี 2 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 7.40 บาท เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2547
ทั้งนี้ ข้อมูลในเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.55 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 ม.ค. 2556) ว่า การเพิ่มทุนของ LOXLEY เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการ ที่ประมูลงานมาได้เป็นจำนวนมาก จะหนุนอัตราการเติบโตกำไรในปีนี้ รวมถึงการปันผล เป็นหุ้น และออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนท์) โดยกำหนดราคาใช้สิทธิ ที่ไม่สูงเกินไป จะจูงใจต่อการรับสิทธิวอร์แรนท์
ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากหุ้นปันผล บวกเงินสดปันผล คิดเป็นผลตอบแทน 16% สูงกว่า Dilution ที่ 14% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นผลบวกต่อราคาหุ้น
ทั้งนี้ LOXLEY แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้จ่ายปันผล สำหรับผลประกอบการปี 55 โดยจ่ายเป็นหุ้นปันผล ในอัตรา 20 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมถึงปันผลเป็นเงินสด หุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นจ่ายปันผลหุ้นละ 0.15 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้อนุมัติให้ออกวอร์แรนท์ ครั้งที่ 1 จำนวน 66.25 ล้านหน่วย แบ่งจัดสรรจำนวนไม่เกิน 25 ล้านหน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ที่มี สิทธิได้รับหุ้นปันผล ในอัตราส่วน 4 หุ้นปันผลต่อ 1 วอร์แรนท์ และวอร์แรนท์อีกไม่เกิน 41.25 ล้านหน่วย จะจัดสรรให้แก่นักลงทุนทั่วไป ที่ได้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในอัตราส่วน 4 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 1 วอร์แรนท์
วอร์แรนท์ดังกล่าว จะมีอายุ 3 ปี โดยกำหนดอัตราการใช้สิทธิ วอร์แรนท์ 1 หน่วย สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิที่ 7 บาทต่อหุ้น
อีกทั้งคณะกรรมการ ยังมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 331.25 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรหุ้นจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล, จำนวน ไม่เกิน 25 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ และจัดสรรหุ้นจำนวนไม่เกิน 165 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป (PO) และอีกไม่เกิน 41.25 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ที่ออก
บริษัทระบุว่า วัตถุประสงค์การเพิ่มทุน เพื่อนำเงินไปลงทุนในการขยายโครงการ ใหม่ๆ ของบริษัททั้งในประเทศ และต่างประเทศ, เพื่อนำเงินไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและ ใช้เป็นเงินลงทุนในบริษัทในเครือ และเพื่อให้เกิดสภาพคล่องของหุ้น
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ณ เวลา 11.46 น. อยู่ที่ระดับ 7.40 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 3.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงแรงในรอบ 9 ปี 2 เดือน โดยนับตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 7.40 บาท เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2547
ทั้งนี้ ข้อมูลในเชิงพื้นฐานจาก www.settrade.com ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.55 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 ม.ค. 2556) ว่า การเพิ่มทุนของ LOXLEY เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการ ที่ประมูลงานมาได้เป็นจำนวนมาก จะหนุนอัตราการเติบโตกำไรในปีนี้ รวมถึงการปันผล เป็นหุ้น และออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนท์) โดยกำหนดราคาใช้สิทธิ ที่ไม่สูงเกินไป จะจูงใจต่อการรับสิทธิวอร์แรนท์
ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากหุ้นปันผล บวกเงินสดปันผล คิดเป็นผลตอบแทน 16% สูงกว่า Dilution ที่ 14% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นผลบวกต่อราคาหุ้น
ทั้งนี้ LOXLEY แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้จ่ายปันผล สำหรับผลประกอบการปี 55 โดยจ่ายเป็นหุ้นปันผล ในอัตรา 20 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมถึงปันผลเป็นเงินสด หุ้นละ 0.10 บาท รวมเป็นจ่ายปันผลหุ้นละ 0.15 บาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังได้อนุมัติให้ออกวอร์แรนท์ ครั้งที่ 1 จำนวน 66.25 ล้านหน่วย แบ่งจัดสรรจำนวนไม่เกิน 25 ล้านหน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ที่มี สิทธิได้รับหุ้นปันผล ในอัตราส่วน 4 หุ้นปันผลต่อ 1 วอร์แรนท์ และวอร์แรนท์อีกไม่เกิน 41.25 ล้านหน่วย จะจัดสรรให้แก่นักลงทุนทั่วไป ที่ได้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในอัตราส่วน 4 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 1 วอร์แรนท์
วอร์แรนท์ดังกล่าว จะมีอายุ 3 ปี โดยกำหนดอัตราการใช้สิทธิ วอร์แรนท์ 1 หน่วย สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิที่ 7 บาทต่อหุ้น
อีกทั้งคณะกรรมการ ยังมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 331.25 ล้านหุ้น โดยจะจัดสรรหุ้นจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล, จำนวน ไม่เกิน 25 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ และจัดสรรหุ้นจำนวนไม่เกิน 165 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป (PO) และอีกไม่เกิน 41.25 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอร์แรนท์ที่ออก
บริษัทระบุว่า วัตถุประสงค์การเพิ่มทุน เพื่อนำเงินไปลงทุนในการขยายโครงการ ใหม่ๆ ของบริษัททั้งในประเทศ และต่างประเทศ, เพื่อนำเงินไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนและ ใช้เป็นเงินลงทุนในบริษัทในเครือ และเพื่อให้เกิดสภาพคล่องของหุ้น
BTS ปรับขึ้น มองบวกจากความคืบหน้ากองทุน BTSGIF-ลุ้นยีลด์ปันผลพิเศษ
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 10:41:57 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 11.33 น. บวก 0.05 บาท หรือ 0.58% มาที่ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 138.36 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.65% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 8.20 บาท ในวันที่ 28 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 8.81 บาท ในวันนี้ (RSI=75.66) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 7 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BTS และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 8.81 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น BTS เทรดที่ P/E 39.08 เท่า และ P/BV 2.06 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น BTS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 9.10 บาท เนื่องจากวานนี้ (7 มี.ค.) BTS รายงานขายหุ้น Big lot ของ VGI จำนวน 10 ล้านหุ้น หุ้นละ 120.50 บาท หรือ คิดเป็น 3.3% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ VGI ให้กับนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนบุคคล และคาดว่าจะมีกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวหลังภาษีประมาณ 890 ล้านบาท หรือ 0.08 บาท / หุ้น แต่จะยังคงบันทึกรายการดังกล่าวผ่านส่วนผู้ถือหุ้นของ BTS เช่นเดียวกับการขายหุ้นในรอบที่ผ่านมา
ขณะที่เราเชื่อว่าราคาหุ้นยังมี Momentum เชิงบวกต่อเนื่องจากความคืบหน้าในการออกขายกองทุน Infrastructure Fund หรือ BTSGIF โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อช่วงวันที่ 29 มี.ค. – 4 เม.ย. 56 และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 19 เม.ย. 56 โดยคาดว่าหลัง BTS ได้เงินจากการออกขายกองทุน BTSGIF จะส่งผลให้มีเงินสดส่วนเกิน และสามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้ประมาณ 0.80 – 1.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 9.2 – 11.5%
นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/55/56 ว่าจะเติบโต จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ จากไตรมาสก่อนหน้า จากจำนวนผู้โดยสาร และตู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจโฆษณายังมีทิศทางขยายตัวโดดเด่นผ่านบริษัทย่อย VGI
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติปี 2555/2556 จะเติบโตสูงถึง +108.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,986 ล้านบาท และปี 2556/2557 เติบโต +77.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3,520 ล้านบาท จากแรงหนุนของการปรับขึ้นค่าโดยสารขึ้นอีกไม่เกิน 10% ตั้งแต่เดือน เม.ย.56 เป็นต้นไป
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 11.33 น. บวก 0.05 บาท หรือ 0.58% มาที่ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 138.36 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.65% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 8.20 บาท ในวันที่ 28 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 8.81 บาท ในวันนี้ (RSI=75.66) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 7 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BTS และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 8.81 บาท โดยปัจจุบันราคาหุ้น BTS เทรดที่ P/E 39.08 เท่า และ P/BV 2.06 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น BTS โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 9.10 บาท เนื่องจากวานนี้ (7 มี.ค.) BTS รายงานขายหุ้น Big lot ของ VGI จำนวน 10 ล้านหุ้น หุ้นละ 120.50 บาท หรือ คิดเป็น 3.3% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ VGI ให้กับนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนบุคคล และคาดว่าจะมีกำไรจากการขายหุ้นดังกล่าวหลังภาษีประมาณ 890 ล้านบาท หรือ 0.08 บาท / หุ้น แต่จะยังคงบันทึกรายการดังกล่าวผ่านส่วนผู้ถือหุ้นของ BTS เช่นเดียวกับการขายหุ้นในรอบที่ผ่านมา
ขณะที่เราเชื่อว่าราคาหุ้นยังมี Momentum เชิงบวกต่อเนื่องจากความคืบหน้าในการออกขายกองทุน Infrastructure Fund หรือ BTSGIF โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อช่วงวันที่ 29 มี.ค. – 4 เม.ย. 56 และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 19 เม.ย. 56 โดยคาดว่าหลัง BTS ได้เงินจากการออกขายกองทุน BTSGIF จะส่งผลให้มีเงินสดส่วนเกิน และสามารถจ่ายเงินปันผลพิเศษได้ประมาณ 0.80 – 1.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 9.2 – 11.5%
นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/55/56 ว่าจะเติบโต จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ จากไตรมาสก่อนหน้า จากจำนวนผู้โดยสาร และตู้ให้บริการที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจโฆษณายังมีทิศทางขยายตัวโดดเด่นผ่านบริษัทย่อย VGI
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรปกติปี 2555/2556 จะเติบโตสูงถึง +108.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1,986 ล้านบาท และปี 2556/2557 เติบโต +77.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3,520 ล้านบาท จากแรงหนุนของการปรับขึ้นค่าโดยสารขึ้นอีกไม่เกิน 10% ตั้งแต่เดือน เม.ย.56 เป็นต้นไป
BGH บวก 2.30%หลังกูรูขยับเพิ่มประมาณการกำไรในปีนี้และราคาเป้าหมาย
วันศุกร์ที่ 08 มีนาคม 2556 เวลา 11:10:58 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH ณ เวลา 11.03 น. บวก 3.50 บาท หรือ 2.30% มาที่ 156 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 339.10 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.58% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BGH ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 147 บาท ในวันที่ 1 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 156 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 10 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BGH และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 157.05 บาท โดยราคาหุ้น BGH ปัจจุบันเทรดที่ P/E 29.69 เท่า และ P/BV 6.32 เท่า
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า ปรับคำแนะนำเป็น "ทยอยซื้อ" จาก"ถือ" หุ้น BGH และปรับเพิ่มราคาพื้นฐานปี 56 เป็น 173 บาท จากเดิมที่ 146 บาท เนื่องจากได้ปรับประมาณการรายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 15.14% จากปีก่อน เป็น 51,015 ล้านบาท โดยจะมาจากการเติบโตของราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 7-7.5% และมาจากปริมาณใช้บริการเพิ่มขึ้น 7.5-8%
ทั้งนี้ BGH ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้บริการจากการเพิ่มรายได้ในส่วนของผู้ป่วยในมาก ขึ้น ซึ่งเป็นการเน้นให้การรักษาในโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้จะขยายฐานลูกค้าไปในระดับกลางมากขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 ที่ 7,139.88 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากประมาณการกำไรสุทธิเดิมที่ 6,959 ล้านบาท และปรับประมาณการในปี 57 เพิ่มขึ้นด้วยเป็น 7,662.75 ล้านบาท
ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า คงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BGH เนื่องจากปี 56 BGH ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับสมมติฐานของเรา โดยมีแรงหนุนจากจำนวนผู้ป่วยที่เติบโตเฉลี่ย 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่ารักษาเฉลี่ยต่อหัวที่เพิ่มขึ้น 7-8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขึ้นค่าบริการ และการเข้ามารักษาโรคซับซ้อนรุนแรงที่มีเพิ่มขึ้น
ส่วนแผนขยายธุรกิจโรงพยาบาลตั้งเป้าหมายมีเครือข่ายเพิ่มเป็น 50 แห่ง จากปัจจุบัน 30 แห่ง โดยอาจอยู่ในรูปสร้างโรงพยาบาลใหม่เฉลี่ยปีละ 4-5 แห่ง และผ่านการทำ M&A เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และทุกตลาดในไทย
ทั้งนี้เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ BGH โดยคาดปี 56 กำไรปกติจะเติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไม่ได้รวมการมีดีลซื้อโรงพยาบาลที่มีกำไรดีอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มเข้ามา ในอนาคต ซึ่งเมื่อบวกกับยังมี Upside 18% จากราคาเป้าหมายปี 56 ที่ 180 บาท และคาดจะมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 55 อีก 1.50 บาท คิดเป็น Div. yield 1%
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH ณ เวลา 11.03 น. บวก 3.50 บาท หรือ 2.30% มาที่ 156 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 339.10 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.58% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BGH ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 147 บาท ในวันที่ 1 มี.ค. มาแตะที่ระดับราคา 156 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 10 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BGH และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 157.05 บาท โดยราคาหุ้น BGH ปัจจุบันเทรดที่ P/E 29.69 เท่า และ P/BV 6.32 เท่า
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า ปรับคำแนะนำเป็น "ทยอยซื้อ" จาก"ถือ" หุ้น BGH และปรับเพิ่มราคาพื้นฐานปี 56 เป็น 173 บาท จากเดิมที่ 146 บาท เนื่องจากได้ปรับประมาณการรายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 15.14% จากปีก่อน เป็น 51,015 ล้านบาท โดยจะมาจากการเติบโตของราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 7-7.5% และมาจากปริมาณใช้บริการเพิ่มขึ้น 7.5-8%
ทั้งนี้ BGH ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้บริการจากการเพิ่มรายได้ในส่วนของผู้ป่วยในมาก ขึ้น ซึ่งเป็นการเน้นให้การรักษาในโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้จะขยายฐานลูกค้าไปในระดับกลางมากขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 ที่ 7,139.88 ล้านบาท ปรับเพิ่มจากประมาณการกำไรสุทธิเดิมที่ 6,959 ล้านบาท และปรับประมาณการในปี 57 เพิ่มขึ้นด้วยเป็น 7,662.75 ล้านบาท
ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (8 มี.ค.) ว่า คงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BGH เนื่องจากปี 56 BGH ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับสมมติฐานของเรา โดยมีแรงหนุนจากจำนวนผู้ป่วยที่เติบโตเฉลี่ย 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และค่ารักษาเฉลี่ยต่อหัวที่เพิ่มขึ้น 7-8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขึ้นค่าบริการ และการเข้ามารักษาโรคซับซ้อนรุนแรงที่มีเพิ่มขึ้น
ส่วนแผนขยายธุรกิจโรงพยาบาลตั้งเป้าหมายมีเครือข่ายเพิ่มเป็น 50 แห่ง จากปัจจุบัน 30 แห่ง โดยอาจอยู่ในรูปสร้างโรงพยาบาลใหม่เฉลี่ยปีละ 4-5 แห่ง และผ่านการทำ M&A เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และทุกตลาดในไทย
ทั้งนี้เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ BGH โดยคาดปี 56 กำไรปกติจะเติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไม่ได้รวมการมีดีลซื้อโรงพยาบาลที่มีกำไรดีอย่างมีนัยสำคัญเพิ่มเข้ามา ในอนาคต ซึ่งเมื่อบวกกับยังมี Upside 18% จากราคาเป้าหมายปี 56 ที่ 180 บาท และคาดจะมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 55 อีก 1.50 บาท คิดเป็น Div. yield 1%
Thursday, March 7, 2013
BGH คาดกำไรปีนี้โตราว 10% เชื่อครึ่งปีแรกมีดีลการซื้อกิจการอย่างน้อย 1 แห่ง
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 16:48:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท ซึ่งอยู่ในกลุ่ม บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโตของกำไรในปีนี้ให้อยู่ในระดับ ใกล้เคียงปีก่อนหน้าที่โตราว 10% หลังมองรายได้ขยายตัว ขณะที่จะพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย แม้ต้นทุนจะสูงขึ้น ส่วนรายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนหน้า ตามแผนการขยายโรงพยาบาลมากขึ้น อีกทั้งการรวมกิจการของเครือโรงพยาบาลพญาไท และเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ทำให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่คาดว่าจะเห็นดีลการซื้อกิจการอย่างน้อย 1 แห่ง ภายในครึ่งแรกปีนี้
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท ซึ่งอยู่ในกลุ่ม บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโตของกำไรในปีนี้ให้อยู่ในระดับ ใกล้เคียงปีก่อนหน้าที่โตราว 10% หลังมองรายได้ขยายตัว ขณะที่จะพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย แม้ต้นทุนจะสูงขึ้น ส่วนรายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนหน้า ตามแผนการขยายโรงพยาบาลมากขึ้น อีกทั้งการรวมกิจการของเครือโรงพยาบาลพญาไท และเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ทำให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่คาดว่าจะเห็นดีลการซื้อกิจการอย่างน้อย 1 แห่ง ภายในครึ่งแรกปีนี้
บางกอกแอร์เวย์ส เล็งเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ภายใน มิ.ย.56
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 16:48:56 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารบริหาร สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่ออกและเสนอขายให้ ประชาชนทั่วไป (IPO) และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในสิ้นเดือน มิ.ย.56 หลังจากแต่งตั้ง บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารบริหาร สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่ออกและเสนอขายให้ ประชาชนทั่วไป (IPO) และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในสิ้นเดือน มิ.ย.56 หลังจากแต่งตั้ง บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
RS บวก 5.4% เทคนิคฟื้นตัว มีโอกาสปรับขึ้นค่าโฆษณา Starmax คุ้มทุนเร็วกว่าคาด
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 15:39:58 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ล่าสุด ณ เวลา 14.58 น. อยู่ที่ 11.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.36% มูลค่าการซื้อขาย 68.70 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น RS ปรับตัวขึ้นจากระดับราคา 5.90 บาทเมื่อวันที่ 22 ม.ค.56 ที่ผ่านมา และขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 12.80 บาท และอ่อนตัวลงหลังจากนั้นมาที่ระดับ 11.10 บาท ก่อนจะฟื้นตัวอีกครั้งในวันนี้ (RSI=68.08) ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 3 แห่ง แนะนำ “ขาย” อีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และมีเพียงแห่งเดียวที่แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 9.85 บาท
บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ขาย” RS โดยระบุเมื่อวันที่ 28 ก.พ.56 ว่า RS เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งด้านผลิตรายการโทรทัศน์ และประสบความสำเร็จธุรกิจทีวีดาวเทียม ขณะที่การประมูลทีวีดิจิตอลเชิงพาณิชย์ 24 ช่องในปลายปีนี้ น่าจะเอื้อประโยชน์ให้ RSสามารถเพิ่มช่องทางขยายฐานรายได้ จากการเช่าเวลาออกอากาศรายการ การรับจ้างผลิตรายการ หรือการรับจ้างเป็นผู้บริหารสถานีช่องทีวีดิจิตอลใหม่ ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวยังไม่นับรวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายวิจัย อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนเกินมูลค่าพื้นฐาน หุ้นปี 2556 อิงPER 23 เท่าแล้ว จึงขอปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” มาเป็น “ขายทำกำไร” ทั้งนี้ RS ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H55 ที่ 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Div Yield 1.3% ขึ้นเครื่องหมาย XD 8 พ.ค. 2556 นี้
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า CEO เชื่อว่าการปรับอัตราค่าโฆษณาของช่อง 8 ขึ้น 100% ในช่วงต้นปีนั้นยังไม่สะท้อนมูลค่าของดิจิตอลทีวี และ RS มีโอกาสมากที่สุดในการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาจากฐานที่ต่ำของทีวีดาวเทียมไป เป็นดิจิตอลทีวี หาก RS ตัดสินใจประมูลใบอนุญาตดิจิตอลทีวี ช่อง 8 น่าจะสามารถถ่ายทอดผ่านระบบดิจิตอลได้ในวันแรกของการถ่ายทอดผ่านระบบดิจิตอล ทีวี ซึ่ง RS คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2014 สำหรับความกังวลของนักลงทุนในเรื่องการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการ ดำเนินงานภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลทีวีนั้น CEO เชื่อมั่นอย่างมากต่อทีมผลิตของเขา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเข้าใจความต้องการของตลาด และมุ่งเน้นการใช้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้จากช่อง 8 ที่ถึงจุดคุ้มทุนภายใน 1.5 ปี และด้วยคาดว่าจะออกอากาศระบบดิจิตอลทีวีในปี 2014 เขาจึงเชื่อว่าช่อง 8 สามารถที่จะพัฒนาต่อไปและแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอลทีวี
ทั้งนี้ ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ธุรกิจทีวีดาวเทียมปี 2013 ของบริษัทที่ 1.36 พันลบ. เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 566 ล้านบาทในปี 2012 ขณะที่ประมาณการรายได้ของเราต่ำกว่าที่ 1.18 พันลบ. ผู้บริหารคาดว่าการเติบโตไม่เพียงแต่จะมาจากอัตราการใช้เวลาโฆษณาและอัตรา ค่าโฆษณาที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมาจากสปอนเซอร์ และโฆษณาแบบ tie-in ที่เพิ่มขึ้น หนุนโดยเรตติ้งที่ดีขึ้น, การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณากว่า 10% และเม็ดเงินโฆษณาที่ไหลมาจาก Free-TV อีกด้วย นอกจากนี้ ช่องใหม่ Starmax (ปรับแบรนด์ใหม่เมื่อเดือน ม.ค.13) ยังมีการดำเนินงานที่ดีกว่าที่ RS คาด และปัจจุบันบริษัท คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนเร็วกว่าคาดในช่วงต้นไตรมาส 4 จากเดิมที่คาดว่าจะคุ้มทุนในช่วงสิ้นปี ให้ราคาเป้าหมายที่ 13.50 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ล่าสุด ณ เวลา 14.58 น. อยู่ที่ 11.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 5.36% มูลค่าการซื้อขาย 68.70 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น RS ปรับตัวขึ้นจากระดับราคา 5.90 บาทเมื่อวันที่ 22 ม.ค.56 ที่ผ่านมา และขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 12.80 บาท และอ่อนตัวลงหลังจากนั้นมาที่ระดับ 11.10 บาท ก่อนจะฟื้นตัวอีกครั้งในวันนี้ (RSI=68.08) ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 3 แห่ง แนะนำ “ขาย” อีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และมีเพียงแห่งเดียวที่แนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 9.85 บาท
บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ขาย” RS โดยระบุเมื่อวันที่ 28 ก.พ.56 ว่า RS เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความแข็งแกร่งด้านผลิตรายการโทรทัศน์ และประสบความสำเร็จธุรกิจทีวีดาวเทียม ขณะที่การประมูลทีวีดิจิตอลเชิงพาณิชย์ 24 ช่องในปลายปีนี้ น่าจะเอื้อประโยชน์ให้ RSสามารถเพิ่มช่องทางขยายฐานรายได้ จากการเช่าเวลาออกอากาศรายการ การรับจ้างผลิตรายการ หรือการรับจ้างเป็นผู้บริหารสถานีช่องทีวีดิจิตอลใหม่ ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวยังไม่นับรวมอยู่ในประมาณการของฝ่ายวิจัย อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนเกินมูลค่าพื้นฐาน หุ้นปี 2556 อิงPER 23 เท่าแล้ว จึงขอปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” มาเป็น “ขายทำกำไร” ทั้งนี้ RS ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H55 ที่ 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Div Yield 1.3% ขึ้นเครื่องหมาย XD 8 พ.ค. 2556 นี้
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า CEO เชื่อว่าการปรับอัตราค่าโฆษณาของช่อง 8 ขึ้น 100% ในช่วงต้นปีนั้นยังไม่สะท้อนมูลค่าของดิจิตอลทีวี และ RS มีโอกาสมากที่สุดในการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาจากฐานที่ต่ำของทีวีดาวเทียมไป เป็นดิจิตอลทีวี หาก RS ตัดสินใจประมูลใบอนุญาตดิจิตอลทีวี ช่อง 8 น่าจะสามารถถ่ายทอดผ่านระบบดิจิตอลได้ในวันแรกของการถ่ายทอดผ่านระบบดิจิตอล ทีวี ซึ่ง RS คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2014 สำหรับความกังวลของนักลงทุนในเรื่องการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการ ดำเนินงานภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลทีวีนั้น CEO เชื่อมั่นอย่างมากต่อทีมผลิตของเขา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเข้าใจความต้องการของตลาด และมุ่งเน้นการใช้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้จากช่อง 8 ที่ถึงจุดคุ้มทุนภายใน 1.5 ปี และด้วยคาดว่าจะออกอากาศระบบดิจิตอลทีวีในปี 2014 เขาจึงเชื่อว่าช่อง 8 สามารถที่จะพัฒนาต่อไปและแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอลทีวี
ทั้งนี้ ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ธุรกิจทีวีดาวเทียมปี 2013 ของบริษัทที่ 1.36 พันลบ. เพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 566 ล้านบาทในปี 2012 ขณะที่ประมาณการรายได้ของเราต่ำกว่าที่ 1.18 พันลบ. ผู้บริหารคาดว่าการเติบโตไม่เพียงแต่จะมาจากอัตราการใช้เวลาโฆษณาและอัตรา ค่าโฆษณาที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมาจากสปอนเซอร์ และโฆษณาแบบ tie-in ที่เพิ่มขึ้น หนุนโดยเรตติ้งที่ดีขึ้น, การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณากว่า 10% และเม็ดเงินโฆษณาที่ไหลมาจาก Free-TV อีกด้วย นอกจากนี้ ช่องใหม่ Starmax (ปรับแบรนด์ใหม่เมื่อเดือน ม.ค.13) ยังมีการดำเนินงานที่ดีกว่าที่ RS คาด และปัจจุบันบริษัท คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนเร็วกว่าคาดในช่วงต้นไตรมาส 4 จากเดิมที่คาดว่าจะคุ้มทุนในช่วงสิ้นปี ให้ราคาเป้าหมายที่ 13.50 บาท
AAV ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้โต 20-25%-ราคาตั๋วเพิ่ม
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 12:46:34 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20-25% จากปีก่อน ขณะที่การเปิดเส้นทางการบินใหม่ผลักดันให้ราคาตั๋วเครื่องบินเฉลี่ยเพิ่ม 1-2% ในปีนี้ ขณะที่บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ที่ 10-15% แต่ยังต้องขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันด้วย
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20-25% จากปีก่อน ขณะที่การเปิดเส้นทางการบินใหม่ผลักดันให้ราคาตั๋วเครื่องบินเฉลี่ยเพิ่ม 1-2% ในปีนี้ ขณะที่บริษัทยังตั้งเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ที่ 10-15% แต่ยังต้องขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันด้วย
NWR ถูกสุดกลุ่มรับเหมาฯกลาง-ใหญ่ กูรูชี้ระยะยาวได้ลุ้นวิ่งชน 8 บ.
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 12:41:53 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ปิดตลาดช่วงเช้าบวก 0.12 จุด หรือ 3.7% มาที่ 3.36 สูงสุดที่ 3.40 จุด ต่ำสุดที่ 3.28 จุด มูลค่าซื้อขายที่ 735.62 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.69 ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.13%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ (7 มี.ค.) ว่า หลัง NWR ประกาศผลกำไรโต 460% ยังมีการแจกปันผล 0.12 บาท ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกตั้งแต่ปี 39 และประกาศเพิ่มทุนให้สิทธิ์อัตรา 7 หุ้นเดิม ได้ 1 หุ้นใหม่ และเพิ่มทุนอีก 200 ล้านหุ้นให้ PP โดยยังไม่ระบุว่าเป็นใคร ราคาเท่าไร ขณะที่งานในมือปัจจุบันอยู่ที่ระดับระดับ 2 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสรับงานอีกมาก ขณะที่มองว่าปี 56 NWR ยังมีแนวโน้มโตได้แรงโดนไม่ต้องพึ่งกำไรพิเศษใดๆ ขณะที่สิ่งที่น่าสนใจคือ หากนำผลประกอบการในปี 55 มาเทียบหาค่า PE ของราคาหุ้นปัจจุบัน จะเห็นว่า NWR มีอันดับค่า PE ต่ำสุดสำหรับหุ้นรับเหมาขนาดกลางถึงใหญ่ที่รับงานสาธารณูปโภค งานภาครัฐและเอกชน ถือว่าเป็นหุ้นถูกสุดในกลุ่ม นอกจากนี้ยังได้รับเงินปันผล และสิทธิ์หุ้นเพิ่มทุนด้วย ถ้าให้ PE ใกล้เคียงเฉลี่ย 20 เท่าเป้าจะอยู่ที่ 7 บาท ด้านเทคนิคกราฟสร้างกะทะหงายเต็มใบ แนวต้าน 8 บาท ได้ลุ้นยาวๆ
ด้านเทคนิค บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (6 มี.ค.) ว่า NWR แนวโน้มฟื้นตัว มีจังหวะซื้อตาม ราคาเปิดบวกเล็กน้อยแตะ 3.20 บาท และมีแรงขาย คาดว่าจะผ่าน 3.20 บาทได้ มีเป้าหมายแนวต้าน 3.30 บาท และ 3.50 บาท
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR ปิดตลาดช่วงเช้าบวก 0.12 จุด หรือ 3.7% มาที่ 3.36 สูงสุดที่ 3.40 จุด ต่ำสุดที่ 3.28 จุด มูลค่าซื้อขายที่ 735.62 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.69 ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.13%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ (7 มี.ค.) ว่า หลัง NWR ประกาศผลกำไรโต 460% ยังมีการแจกปันผล 0.12 บาท ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกตั้งแต่ปี 39 และประกาศเพิ่มทุนให้สิทธิ์อัตรา 7 หุ้นเดิม ได้ 1 หุ้นใหม่ และเพิ่มทุนอีก 200 ล้านหุ้นให้ PP โดยยังไม่ระบุว่าเป็นใคร ราคาเท่าไร ขณะที่งานในมือปัจจุบันอยู่ที่ระดับระดับ 2 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสรับงานอีกมาก ขณะที่มองว่าปี 56 NWR ยังมีแนวโน้มโตได้แรงโดนไม่ต้องพึ่งกำไรพิเศษใดๆ ขณะที่สิ่งที่น่าสนใจคือ หากนำผลประกอบการในปี 55 มาเทียบหาค่า PE ของราคาหุ้นปัจจุบัน จะเห็นว่า NWR มีอันดับค่า PE ต่ำสุดสำหรับหุ้นรับเหมาขนาดกลางถึงใหญ่ที่รับงานสาธารณูปโภค งานภาครัฐและเอกชน ถือว่าเป็นหุ้นถูกสุดในกลุ่ม นอกจากนี้ยังได้รับเงินปันผล และสิทธิ์หุ้นเพิ่มทุนด้วย ถ้าให้ PE ใกล้เคียงเฉลี่ย 20 เท่าเป้าจะอยู่ที่ 7 บาท ด้านเทคนิคกราฟสร้างกะทะหงายเต็มใบ แนวต้าน 8 บาท ได้ลุ้นยาวๆ
ด้านเทคนิค บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (6 มี.ค.) ว่า NWR แนวโน้มฟื้นตัว มีจังหวะซื้อตาม ราคาเปิดบวกเล็กน้อยแตะ 3.20 บาท และมีแรงขาย คาดว่าจะผ่าน 3.20 บาทได้ มีเป้าหมายแนวต้าน 3.30 บาท และ 3.50 บาท
LOXLEY วิ่ง 5.34% กูรูเชียร์ลุ้นชนะประมูลโครงการสัมปทานวางระบบในพม่า
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 12:00:31 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ณ เวลา 11.54 น. บวก 0.35 บาท หรือ 5.34% มาที่ 6.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 1,070.23 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.01% ทั้งนี้ ราคาหุ้น LOXLEY ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 6.05 บาท ในวันที่ 4 ก.พ. มาแตะที่ระดับราคา 6.90 บาท ในวันนี้ (RSI=67.27) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” LOXLEY และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.55 บาท โดยราคาหุ้น LOXLEY ปัจจุบันเทรดที่ P/E 24.90 เท่า P/BV 2.85 เท่า
บล.เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (7 มี.ค.) ว่า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น LOXLEY โดยให้ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท เนื่องจากกำไรปี 55 เพิ่มขึ้น 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 526 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด 5% ปันผล 0.10บ./หุ้น ยีลด์ 1.5% โดยกำหนด XD วันที่ 14 มี.ค. เรายังคงประมาณการกำไรปี 56-57 โดยประมาณการของเรามีแนวโน้มเชิงบวกจากโอกาสชนะประมูลโครงการสัมปทานที่ เกี่ยวเนื่องกับการวางระบบไอซีทีในเมียนมาร์ของบริษัทร่วมทุนกับบริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT
ด้าน บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (7 มี.ค.) ว่า หุ้นที่คาดว่าจะยังมีแรงซื้อคงจะเป็นหุ้นขนาดเล็กประเภทเก็งกำไรที่ค่า P/E ยังไม่แพงจนเกินไปอย่าง LOXLEY
สำหรับ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (7 มี.ค.) ว่า ถือพอร์ตหุ้นแนะนำเดือน มี.ค. ต่อไป อ่อนตัวจะเป็นโอกาสซื้อ หุ้นเด่น STEC, ITD, JAS*, LOXLEY, MINT* และ GUNKUL
TRUE บวก 2.86% กูรูมองเป็นหุ้นเด่นประจำปี 56 จากผลประกอบการฟื้นตัวชัดเจน
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 11:29:48 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11.24 น. บวก 0.20 บาท หรือ 2.86% มาที่ 7.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น 761.95 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.07% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TRUE เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. ที่ระดับราคา 6.35 บาท มาแตะที่ระดับราคา 7.20 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TRUE จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 7 แห่งแนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.01 บาท โดยราคาหุ้น TRUE ปัจจุบันเทรดที่ P/BV ที่ระดับ 7.61 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (7 มี.ค.) ว่า วานนี้เรามีโอกาสได้ประชุมแบบกับผู้บริหาร TRUE ได้มุมมองเชิงบวกอย่างมากหลังการประชุมดังกล่าว และให้เป็นหุ้นเด่นประจำปี 56 จากผลประกอบการที่จะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีนี้ และมีกำไรที่โดดเด่นในปี 57 คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท
ขณะที่ เข้าสู่จุดคุ้มทุนภายในปี 56: จากการที่รักษา ระดับค่าใช้จ่ายไว้ทรงตัวจากปี 55 แต่รายได้ที่เติบโตขึ้นจากการเปลี่ยนระบบของลูกค้าต่อวันทำได้มากขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องเลขหมายไม่พออีกต่อไปเนื่องจากภายใต้ระบบใบอนุญาต TRUE สามารถขอได้เอง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า และหากแผนการระดมทุนเป็นไปตามแผนสามารถลดภาระหนี้และดอกเบี้ยจ่ายลงได้ ทำให้โอกาสที่ผลประกอบการจะดีกว่าที่เราประเมินเป็นไปได้เช่นกัน รวมถึงหากจำนวนเงินมากพอและล้างขาดทุนสะสมได้หมด การจ่ายเงินปันผลเป็นไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้ มีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก คงคำแนะนำ ซื้อ:ด้วย ภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แตกต่างจากภาพในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าภาระหนี้จะอยู่ในระดับสูง แต่จะถูกปลดพันธนาการด้วยแผนการระดมทุนที่จะชัดเจนขึ้นต่อเรื่องภายในปีนี้ และมูลค่าสินทรัพย์ในแต่ธุรกิจที่มีมูลค่ามาหาศาล จากความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด Broadband ตลาด Pay-TV และ ตลาด 3จี และเป็นรายเดียวที่สามารถให้บริการ Convergence ได้เพียงรายเดียว ทำให้สิ่งนี้ทำให้เราประเมินว่าเมื่อใดก็ตามที่ TRUE สามารถสร้างกำไรได้ราคาหุ้น TRUE ควรจะถูกซื้อขายในระดับที่เป็นพรีเมี่ยม
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11.24 น. บวก 0.20 บาท หรือ 2.86% มาที่ 7.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น 761.95 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.07% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TRUE เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. ที่ระดับราคา 6.35 บาท มาแตะที่ระดับราคา 7.20 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TRUE จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 7 แห่งแนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.01 บาท โดยราคาหุ้น TRUE ปัจจุบันเทรดที่ P/BV ที่ระดับ 7.61 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (7 มี.ค.) ว่า วานนี้เรามีโอกาสได้ประชุมแบบกับผู้บริหาร TRUE ได้มุมมองเชิงบวกอย่างมากหลังการประชุมดังกล่าว และให้เป็นหุ้นเด่นประจำปี 56 จากผลประกอบการที่จะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีนี้ และมีกำไรที่โดดเด่นในปี 57 คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท
ขณะที่ เข้าสู่จุดคุ้มทุนภายในปี 56: จากการที่รักษา ระดับค่าใช้จ่ายไว้ทรงตัวจากปี 55 แต่รายได้ที่เติบโตขึ้นจากการเปลี่ยนระบบของลูกค้าต่อวันทำได้มากขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องเลขหมายไม่พออีกต่อไปเนื่องจากภายใต้ระบบใบอนุญาต TRUE สามารถขอได้เอง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า และหากแผนการระดมทุนเป็นไปตามแผนสามารถลดภาระหนี้และดอกเบี้ยจ่ายลงได้ ทำให้โอกาสที่ผลประกอบการจะดีกว่าที่เราประเมินเป็นไปได้เช่นกัน รวมถึงหากจำนวนเงินมากพอและล้างขาดทุนสะสมได้หมด การจ่ายเงินปันผลเป็นไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้ มีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก คงคำแนะนำ ซื้อ:ด้วย ภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แตกต่างจากภาพในอดีตอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าภาระหนี้จะอยู่ในระดับสูง แต่จะถูกปลดพันธนาการด้วยแผนการระดมทุนที่จะชัดเจนขึ้นต่อเรื่องภายในปีนี้ และมูลค่าสินทรัพย์ในแต่ธุรกิจที่มีมูลค่ามาหาศาล จากความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาด Broadband ตลาด Pay-TV และ ตลาด 3จี และเป็นรายเดียวที่สามารถให้บริการ Convergence ได้เพียงรายเดียว ทำให้สิ่งนี้ทำให้เราประเมินว่าเมื่อใดก็ตามที่ TRUE สามารถสร้างกำไรได้ราคาหุ้น TRUE ควรจะถูกซื้อขายในระดับที่เป็นพรีเมี่ยม
"สายการบินนกแอร์" เล็งขายหุ้น IPO 187.5 ล้านหุ้น เข้า SET
วันพฤหัสบดีที่ 07 มีนาคม 2556 เวลา 10:34:41 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยว่า บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 56 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 187.50 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท 125 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิม 62.50 ล้านหุ้น เสนอขายโดยบริษัท Aviation Investment International จำกัด
ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET)โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
ขณะที่ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท สกายเอเชีย จำกัด เป็นสายการบินราคาประหยัด (Low-Cost Airline) ที่ให้บริการขนส่งทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมเส้นทางการบินมากที่สุดในประเทศไทย โดย ณ วันที่ 28 ก.พ. 56 ให้บริการเที่ยวบินทั้งหมด 23 เส้นทางการบิน ครอบคลุม 21 จุดหมายปลายทาง และมีเที่ยวบินทั้งสิ้น 497 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
โดยผลการดำเนินงานปี 55 บริษัทมีรายได้หลักรวม 8,217.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 504.7 ล้านบาท และ ณ 31 ธ.ค.55 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,252 ล้านบาท หนี้สินส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้การค้า 419.9 ล้านบาท และมีเจ้าหนี้อื่นที่เป็นรายได้รับที่ยังไม่รับรู้จำนวน 683.7 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 888.1 ล้านบาท
สำหรับ ณ วันที่ 28 ก.พ.56 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 625 ล้านบาท และทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังจาเสนอขาย IPO ในครั้งนี้จะมีทุนชำระแล้ว 625 ล้านบาท โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 28 ก.พ.2556 คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ถือหุ้น 245 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 49% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 39.2% และบริษัท Aviation Investment International จำกัด ถือหุ้น 125 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 10% หรือถือหุ้น 62.5 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าประมาณ 25% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เปิดเผยว่า บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 56 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 187.50 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท 125 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิม 62.50 ล้านหุ้น เสนอขายโดยบริษัท Aviation Investment International จำกัด
ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET)โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
ขณะที่ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท สกายเอเชีย จำกัด เป็นสายการบินราคาประหยัด (Low-Cost Airline) ที่ให้บริการขนส่งทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมเส้นทางการบินมากที่สุดในประเทศไทย โดย ณ วันที่ 28 ก.พ. 56 ให้บริการเที่ยวบินทั้งหมด 23 เส้นทางการบิน ครอบคลุม 21 จุดหมายปลายทาง และมีเที่ยวบินทั้งสิ้น 497 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
โดยผลการดำเนินงานปี 55 บริษัทมีรายได้หลักรวม 8,217.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 504.7 ล้านบาท และ ณ 31 ธ.ค.55 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,252 ล้านบาท หนี้สินส่วนใหญ่เป็นเจ้าหนี้การค้า 419.9 ล้านบาท และมีเจ้าหนี้อื่นที่เป็นรายได้รับที่ยังไม่รับรู้จำนวน 683.7 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 888.1 ล้านบาท
สำหรับ ณ วันที่ 28 ก.พ.56 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 625 ล้านบาท และทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังจาเสนอขาย IPO ในครั้งนี้จะมีทุนชำระแล้ว 625 ล้านบาท โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 28 ก.พ.2556 คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ถือหุ้น 245 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 49% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 39.2% และบริษัท Aviation Investment International จำกัด ถือหุ้น 125 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 10% หรือถือหุ้น 62.5 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าประมาณ 25% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี
Subscribe to:
Posts (Atom)