Custom Search

Search This Blog

Wednesday, June 26, 2013

KMC ทุ่ม 400 ลบ.ซื้อกิจการ"อควาเรียส เอสเตท" ต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ

วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556 เวลา 09:45:02 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)หรือ KMC  เปิดเผยว่า ที่ประชมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติซื้อหุ้นบริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด จำนวน 459,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 871.459 บาท รวมเป็นจำนวน 400 ล้านบาท จากบริษัท ท่าจีน จำกัด คาดซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือน ก.ค. 56 โดยบริษัทใช้เงินที่ได้จากเงินเพิ่มทุนและกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน บริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการซื้อหุ้นบริษัท
การเข้าซื้อครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมถึงธุรกิจการ บริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่น การทำธุรกิจโรงแรม ตลอดจนโครงการอสังหาริมทรัพย์อื่นที่บริษัท อควาเรียส มีอยู่แล้วมารวมเป็นรายได้รวมของบริษัทและกำไรของบริษัทเพิ่มเติม และเป็นการกระจายความเสี่ยงของประเภทของธุรกิจของบริษัทให้มีความหลากหลาย มากขึ้นด้วย
และการเข้าลงทุนใน บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัดจะช่วยให้บริษัทมีรายได้ที่เติบโตมากขึ้น ซึ่งในปี 2555 ที่ผ่านมาบริษัท อควาเรียส เอสเตท มีรายได้รวมประมาณ 683 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตก็จะส่งผลต่อรายได้และกำไรให้เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทเนื่องจากการ จัดทำงบการเงินรวม
นอกจากนี้ผู้บริหารคาดว่า การที่บริษัท มีขนาดของสินทรัพย์และทุนที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้บริษัทได้รับผลดีในเรื่องความ เชื่อมั่นจากบุคคลที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น เช่นสถาบันการเงิน ลูกค้า ผู้จัดจำหน่าย คู่ค้า เป็นต้น
รวมทั้งในอนาคตสามารถที่จะ Spin Off เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าลงทุนของบริษัท ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าทำรายการในครั้งนี้ ภาระหนี้ของ บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัดที่มีกับสถาบันการเงินจะยังคงมีสถานะคงเดิม โดยที่บริษัทจะไม่มีภาระค้ำประกันหนี้ดังกล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาขายเงินลงทุนในบริษัท เคเอ็มซี โฮเท็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด ในส่วนที่บริษัทฯถืออยู่ ทั้งหมดให้แก่นายนริศ ซิ้มเจริญ จำนวน 99,993 หุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาทรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 99,993 บาท เพื่อลดภาระในการสนับสนุนเนื่องจากกิจการดังกล่าวมีผลขาดทุนมาโดยตลอด



Wednesday, June 19, 2013

PF ออกหุ้นกู้ 2 พันลบ. อายุ 2 ปี พร้อมชูดอกเบี้ย 6.05% เปิดจอง 24-27 มิ.ย.นี้

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 16:04:12 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


น.ส.ศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่า 2,000 ล้านบาท ให้กับประชาชนทั่วไปซึ่งมิใช่ผู้ลงทุนสถาบัน โดยมีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย ซึ่งหุ้นกู้มีอายุ 2 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 6.05% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของ 100,000 บาท เปิดให้จองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 24-27 มิถุนายนนี้ ที่ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา
ด้านนายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อย และเครือข่าย KTB เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยได้ให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมเงื่อนไขการผ่อนชำระพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของ PF ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม รวม 20 โครงการ
ทั้งนี้ เงื่อนไขทางการเงินเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่มผู้ซื้อบ้าน ดังนั้น ทางธนาคารจึงได้ให้ความร่วมมือในการเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ 1% 2 ปีแรก และยังเพิ่มสิทธิพิเศษ ผ่อนเพียงล้านละ 1,000 บาท ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระได้ถึง 86% เมื่อเทียบกับอัตราการผ่อนทั่วไปที่ต้องผ่อนโดยเฉลี่ยล้านละ 7,000 บาท ซึ่งสิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้าผู้ซื้อบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ใน 16 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เพอร์เฟค เพลส, เพอร์เฟค พาร์ค, เดอะ วิลล่า, มณีรินทร์ เลค&พาร์ค, โมดิวิลล่า และ เดอะ เมทโทร

นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขการเงินพิเศษ สำหรับผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ใน 4 โครงการ ได้แก่ เดอะเลค @ เมโทร พาร์ค สาทร และไอคอนโด 3 ทำเล ได้แก่ งามวงศ์วาน สุขาภิบาล 2 และสุขุมวิท 105



CPN ทุ่มงบ 1.4 พันลบ.ผุด"ไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่ง"3 แห่ง กทม.-เชียงใหม่-สมุย

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 15:02:55 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ และพัฒนาโครงการก่อสร้าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า บริษัทประกาศทุ่มงบกว่า 1,400 ล้านบาท เปิดตัว 3 “ไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่ง แอนด์ แกสโตร บาร์ แลนด์มาร์ค" (Lifestyle Dining & Gastro Bar Landmark) บนพื้นที่รวมกว่า 38,000 ตร.ม. คือ Groove @ CentralWorld ที่ใจกลางกรุงเทพฯ The Port @ CentralFestival Samui ใจกลางเกาะสมุย และ The Blossom @ CentralFestival Chiangmai ใจกลางเมืองเชียงใหม่ เพื่อตอบโจทย์คนเมืองและนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงที่ชื่นชอบกระแสไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่งและการสังสรรค์ โดยมุ่งให้ 3 แลนด์มาร์คใหม่นี้ช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็น เดสติเนชั่น ท่องเที่ยวของโลก
นอกจากนี้ ทั้ง 3 “ไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่ง แอนด์ แกสโตร บาร์ แลนด์มาร์ค" นี้ จะเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็น เดสติเนชั่น ท่องเที่ยวของโลก ที่รองรับ ทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นจากการเปิด AEC ซึ่ง CPN ได้รวบรวมร้านอาหาร ไดน์นิ่ง แอนด์ แกสโตร บาร์ ชั้นนำจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ ซึ่งบางร้านจะมาเปิดที่นี่เป็นที่แรกในไทยในคอนเซ็ปต์ที่แปลกใหม่ ทั้งบรรยากาศ Indoor และ Outdoor อาทิ Harrods จากอังกฤษ, Maxim’s de Paris และ Fauchon จากฝรั่งเศส, COVA จากอิตาลี, Water Library และ Wine Connection ของไทย
สำหรับ Groove @ CentralWorld นั้น  CPN ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เนรมิตพื้นที่กว่า 15,000 ตร.ม. ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ด้านถนนพระราม 1 ให้เป็นแลนด์มาร์คสำหรับไนท์ไลฟ์ของการสังสรรค์ในบรรยากาศระดับโลก ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งที่รายล้อมด้วยโรงแรมและที่อยู่อาศัยระดับ 5 ดาว อาคารสำนักงานชั้นนำในย่านธุรกิจหลักของประเทศ และศักยภาพของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่มีจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการกว่า 180,000 คน ต่อวัน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกว่า 40%
The Port @ CentralFestival Samui ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 450 ล้านบาทจะเป็น “ไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่ง แอนด์ แกสโตร บาร์ แลนด์มาร์ค" ใหม่ของเกาะสมุยที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดบนหาดเฉวง ซึ่งเกาะสมุยถือได้ว่าเป็น Beach Destination ระดับโลกของไทย ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงในทุกด้าน มีนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลกมากถึง 1.9 ล้านคนต่อปี มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวด้วยจำนวนโรงแรมกว่า 500 แห่ง ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ซึ่งซีพีเอ็นพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ด้วย The Port @ CentralFestival Samui บนพื้นที่กว่า 11,000 ตร.ม. ซึ่งซีพีเอ็นมั่นใจว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ชื่นชอบการ สังสรรค์และไนท์ไลฟ์จะนึกถึงที่นี่เป็นที่แรก

และด้วยศักยภาพของเชียงใหม่ในการเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของไทยที่มี จำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคนต่อปี มีโรงแรมระดับ 5 ดาวกว่า 40 โรงแรม The Blossom @ CentralFestival Chiangmai ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 370 ล้านบาท จะเป็น “ไลฟ์สไตล์ ไดน์นิ่ง แอนด์ แกสโตร บาร์ แลนด์มาร์ค" แห่งแรกและแห่งเดียวของภาคเหนือที่รวมร้านอาหารไลฟ์สไตล์และไนท์ไลฟ์ที่ใหญ่ ที่สุดของเมืองเชียงใหม่บนพื้นที่กว่า 12,000 ตร.ม. ซึ่งที่นี่จะเข้าไปเติมเต็มไดน์นิ่ง ไลฟ์สไตล์ของเชียงใหม่ให้มีสีสันมากยิ่งขึ้น มีสไตล์การตกแต่งในคอนเซ็ปต์ Flora Blossom ให้ผู้ที่ชื่นชอบการชิลเอาท์มาสังสรรค์ในบรรยากาศระดับโลกได้



LH บวก 3.8% เหลืออัพไซด์ 28% ลุ้นสรุปประมูลสวนลุมฯ 1-2 เดือนนี้

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 14:47:09 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ล่าสุด ณ เวลา 14.35 น. อยู่ที่ 10.90 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.81% มูลค่าการซื้อขาย 164.12 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น LH อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคาสูงสุดที่ 13.70 บาท และต่ำสุดที่ 10 บาท ตามภาวะตลาดโดยรวมหลังจากนั้นแกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง ล่าสุด RSI อยู่ที่ 39.93 และซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 18.82 เท่า และ P/BV ที่ 3.20 เท่า ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 11 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” อีก 3 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 14.02 บาท หรือมีอัพไซด์จากราคาปัจจุบันที่ 28.6%
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” LH โดยระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มิ.ย.) ว่า LH เป็นผู้ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย โดยมีโครงการในมือกว่า 50 โครงการกระจายไปในทุกประเภทของที่อยู่อาศัยและมีการลงทุนในโครงการให้เช่า และ ถือหุ้น QH, HMPRO, LHBANK
ทั้งนี้ ยอดจองยังมาตามเป้าหมาย โดยช่วง 5M56 มียอด 12 พันล้านบาท คิดเป็น 40% ของเป้า ทั้งนี้ ยอดจองคอนโดฯ Hi End ใหม่สร้างยอดจองที่ดีกว่าทางบริษัทคาดการณ์ ทางฝ่ายยังยืนยันแนวโน้มกำไรปีนี้เติบโต 15% และกำไรก่อนรายการพิเศษเติบโต 24%

ขณะที่แผนขาย Terminal 21 เข้ากองอสังหาฯจะเป็น Upside ต่อประมาณการกำไรปีนี้ ลุ้นความชัดเจนการลงทุนโครงการเช่าใหม่ปีนี้ 2 โครงการ โดยล่าสุดเริ่มเข้าสู่กระบวนการประมูลที่ดิน สวนลุม ไนท์พลาซ่า คาดว่าจะมีข้อสรุปในอีก 1-2 เดือน ส่วนอีกโครงการจะเป็นโครงการศูนย์การค้าใหม่, โรงแรม หรือ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งทางบริษัทกำลังเลือกสรรทำเลรอบนอก ก.ท.ม. ทางฝ่ายคาดว่าน่าจะมีข้อสรุปชัดเจนในปีนี้ โครงการเหล่านี้เป็นโครงการลงทุนทดแทนโครงการเพื่อเช่าที่ทางบริษัทขายออกไป เมื่อปีก่อน และมีแผนจะขายใน 2H56แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 13 บาท



TRUE ไม่ฟื้นร่วงอีก 5.26% มองเลื่อนประมูลคลื่น 1800,เปลี่ยนคำแนะนำเป็น“ขาย

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 12:03:48 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 11.51 น. อยู่ที่ระดับ 7.20 บาท ลบ 0.40 บาท หรือ 5.26% ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสวนทิศทางตลาดหุ้นไทยโดย ณ เวลา 11.57 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,431.40 จุด บวก 3.98จุด หรือ 0.28% มูลค่าซื้อขาย 23,074.42 ล้านบาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ในวันนี้ (19 ) ว่า เปลี่ยนคำแนะนำของTRUE เป็น“ขาย"หลังราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่มีมุมมองในเชิงบวกต่อผลประกอบการในปี 57 เนื่องจากการลดต้นทุนที่ถูกเลื่อนออกไป โดยมองว่ามีความเสี่ยงสูงมากจากประมาณการของตลาดในปี 56-57 และการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยลดภาระด้านดอกเบี้ยจ่าย แต่เชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้ตอบสนองปัจจัยนี้ไปแล้ว พร้อมให้มูลค่าที่เหมาะสม 5.5 บาท
เนื่องจากปัญหาด้านกฏหมายระหว่าง กสทช. และ กสท. ทำให้มองว่าการประมูลคลื่น 1800 จะถูกเลื่อนไปเป็นปี 58 และเชื่อว่าต้นทุนของ 2G ที่ลดลงจะไม่เกิดขึ้นในปีหน้า ในขณะที่ผลขาดทุนจากการดำเนินงานบนระบบ 2G ที่เพิ่มขึ้นทำให้ปรับประมาณการของ TRUE ลงสำหรับปี 56-57 ลง 4.49 พันล้านบาท และ 7.43 พันล้านบาทตามลำดับ โดยประมาณการใหม่ของต่ำกว่าที่ตลาดคาด และมีความเสี่ยงขาดทุนจากการอ่อนค่าของเงินบาทในปีนี้

ถึงแม้จะไม่ได้รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐานไว้ในประมาณการของ TRUE แต่เรามองว่าตลาดคาดผลตอบแทนของกองทุนไว้ที่ 6% จากราคาขาย แต่เรามองว่านักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า 6% สังเกตุได้จากกองทุน BTSGIF ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เราจึงมองผลตอบแทนที่ 7% จึงจะมีความสมจริงมากกว่าทำให้มีดาวน์ไซด์ 7% จากประมาณการ



BLAND นิ่ง! ราคาหุ้นร่วงแล้ว 13% ลุ้น REIT หนุนกำไรโดเด่น ผู้บริหารเก็บหุ้นต่อเนื่อง

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 12:18:48 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ณ เวลา 12.06 น. ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 1.57 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 528.49 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.53% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND อ่อนตัวลงจากระดับราคา 1.73 บาท ในวันที่ 14 มิ.ย. มาแตะที่ระดับราคา 1.57 บาท ในวันนี้ (RSI=31.20) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น BLAND โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 2.80 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น BLAND เทรดที่ P/E 13.86 เท่า และ P/BV 0.80 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มิ.ย.) BLAND เป็นหุ้นเด่นรายวัน เนื่องจากราคาหุ้นในรอบ 1 สัปดาห์ลดลง 13% จากจุดสูงสุด บริษัทจะนำอิมแพคเข้า REIT มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ BLAND มีกำไรหลายพันล้านบาท ขณะที่ผู้บริหาร (กลุ่มกาญจนพาสน์) ยังเก็บหุ้นต่อเนื่อง มูลค่าเหมาะสม 2.68 บาท (CONSENSUS)
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มิ.ย.) ว่า ระยะสั้นตลาดอ่อนไหวต่อปัจจัยลบ ทั้งนี้การปรับตัวไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน หากปรับลงแรงซื้อเก็งกำไรเล่นรอบ กลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงแรงซื้อเก็งกำไรเล่นรอบ CPN BLAND CK SRICHA WHA QH กลุ่มธนาคาร BBL SCB KBANK KTB ถือหรือซื้อเพิ่ม กลุ่มสื่อสาร INTUCH TRUE ADVANC กลุ่มพลังงาน EGCO PTT PTTEP หุ้นรายหลักทรัพย์ THAI CPALL CHG BGH SCC MDX ระยะกลาง ถือ ปรับตัวลงแรงซื้อเพิ่มบางส่วน
ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ว่า เรามีมุมมองในเชิงบวกต่อ BLAND โดยคาดว่า BLAND จะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากทีสุดหุ้นหนึ่งนับจากนี้ไป หลังจากเราได้เข้าพบนายอนันต์ กาญจนพาสน์ ซึ่งถือว่าเป็นการให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ MBKET เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จุดเด่นของ BLAND ที่เราชอบ ได้แก่ 1) ความเป็นผู้นำในการบริหารศูนย์แสดงสินค้า โดยปัจจุบัน IMPACT มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 2) การนำเอา REIT มาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว 3) บทบาทของการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินที่มีต้นทุนต่ำบริเวณศรีนครินทร์รอพัฒนาอีกมาก ส่งผลให้มีความได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องราคาขาย และ 4) บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่งไม่มีหนี้สิน ดังนั้น เราจึงแนะนำ ซื้อ BLAND โดยมีราคาเป้าหมาย 12 เดือน เท่ากับ 2.8 บาท คิดเป็น Upside gain จากราคาปิดที่ 1.83 บาท เท่ากับ 53%

สำหรับนายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ BLAND เปิดเผยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ว่า บริษัทจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยจะนำศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็คขายเข้าเป็นสินทรัพย์ ที่มีมูลค่าประมาณ 1.8-2 หมื่นล้านบาท  และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ได้ในปลายเดือนก.ย.นี้



THCOM ลั่นกำไรปีนี้โตก้าวกระโดด มั่นใจเปิดบริการ"ไทยคม 6" ราว ส.ค.56

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 11:10:11 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 56 กำไรสุทธิจะเติบโตกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 173.90 ล้านบาท เนื่องจากได้รับอานิสงส์การขายทิ้ง  Mfone ที่ทำธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกัมพูชา ประมาณ 500 ล้านบาท และการขายช่องสัญญาณดาวเทียม IPSTAR ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่ให้กำไรค่อนข้างมาก
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายช่องสัญญาณแล้ว 53% ของช่องสัญญาณทั้งหมด จากเป้าหมายในปีนี้ที่ 59% โดยเน้นการทำการตลาดแบบทยอยขาย ซึ่งทำให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น รวมถึงจากการให้บริการชั่วคราวก่อนที่จะมีการยิงดาวเทียมไทยคม 6 ขึ้นไป ซึ่งจะรับรู้รายได้เร็วขึ้นประมาณ 2 เดือน
นางศุภจี มั่นใจว่า โครงการดาวเทียมไทยคม 6 จะสามารถยิงขึ้นสู่วงโคจรได้ภายในไตรมาส 3/56 แม้ว่าจะเลื่อนจากกำหนดเดิมในไตรมาส 2/56 และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ส.ค.56  เนื่องจากเกิดความล่าช้าของกำหนดส่งดาวเทียมดวงอื่นที่มีลำดับการส่งขึ้นสู่ วงโคจรก่อนดาวเทียมไทยคม 6 แต่มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้ารายได้ในปีนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทฯได้จัดหาดาวเทียมมาให้บริการชั่วคราวจนกว่าดาวเทียมไทยคม 6 จะพร้อมให้บริการ
ทั้งนี้ หากการดำเนินการเป็นไปตามแผน ดาวเทียมดังกล่าวจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ทำให้บริษัทฯ มีช่องสัญญาณดาวเทียมเพื่อให้บริการตามความต้องการของลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา โดยขณะนี้บริษัทได้ขายช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม 6 ไปก่อนหน้านี้แล้วประมาณ 60% ซึ่งมาจากลูกค้าในประเทศไทย และต่างประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย จีน แอฟฟริกา และอียิปต์
นอกจากนี้ ดาวเทียมไทยคม 7 จะยิงขึ้นสู่วงโคจร 120 องศาตะวันออกในช่วงไตรมาส 1 หรือไตรมาส 2 ของปี 57 โดยปัจจุบันบริษัทสามารถขายช่องสัญญาณล่วงหน้าบนดาวเทียมไทยคม 7 ได้แล้วประมาณ 40% และขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำดาวเทียมใหม่ อาจเป็นไทยคม 8 เนื่องจากดาวเทียมที่มาให้บริการที่ตำแหน่ง 78.5 องศาตะวันออก ซึ่งมีความต้องการใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงดาวเทียมไทยคม 6 ก็ไม่เพียงพอ อาจต้องทำดาวเทียมใหม่ขึ้นมาในตำแหน่งดังกล่าว เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

สำหรับตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ 50.5 องศาตะวันออกซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของดาวเทียมไทยคม 3  บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับ 4 ประเทศ ได้แก่ ตุรกี รัสเซีย  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ จีน เพื่อจำหน่ายช่องสัญญาณ โดยประเทศจีนยังมีความติดขัดอยู่พอสมควร ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ 3 ปี และมองว่าภายในปีนี้จะสามารถเจรจาให้สำเร็จได้ อีกทั้งเมื่อการเจรจรากับ 4 ประเทศสำเร็จแล้ว คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างดาวเทียมเพื่อส่งขึ้นสู่วงโคจรได้



SVOA บวก 3.67% เก็งรับผลบวกชนะประมูลงานโครงการ Tablet

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 10:47:15 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA ณ เวลา 10.35 น. บวก 0.08 บาท หรือ 3.67% มาที่ 2.26 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 15.67 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.72% ทั้งนี้ ราคาหุ้น SVOA ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 1.99 บาท ในวันที่ 13 มิ.ย. มาแตะที่ระดับราคา 2.24 บาท ในวันนี้ (RSI=42.33) ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น SVOA เทรดที่ P/E 25.78 เท่า และ P/BV 1.21 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (19 มิ.ย.) ว่า แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น SVOA โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 3.60 บาท เนื่องจาก SVOA เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพียงรายเดียว ที่ผ่านการทดสอบการตกกระแทกโครงการ Tablet สำหรับนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 ประจำปีการศึกษา 56 มูลค่ารวม 4.6 พันล้านบาท และจะเข้าสู่การประมูลแบบ E-Auction ในวันศุกร์ที่ 21 มิ.ย. โดย SVOA เป็น 1 ใน 2 บริษัท ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย สำหรับการประมูลในโซนที่ 3 ซึ่งมีบริษัทที่ผ่านเข้ารอบ คือ บริษัทสุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด และ บริษัท เอสวีโอเอ (มหาชน)จำกัด

ดังนั้น เราคาดว่ามีโอกาสที่บริษัทจะชนะงานประมูลโครงการ Tablet ดังกล่าว และเป็น Upside ที่ยังไม่รวมอยู่ในประมาณการของเรา จึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น” เพื่อคาดหวังผลบวกจากการประมูลงานโครงการ Tablet



ILINK เคาะราคาขายหุ้นเพิ่มทุน PO หุ้นละ 21.25 บ. 19-21 มิ.ย.

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2556 เวลา 09:49:50 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยว่า บริษัทมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนทั่วไป จำนวนไม่เกิน 20,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ในราคาไม่ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ของหุ้น
นอกจากนี้ยังมีมติการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของ บริษัทฯ ครั้งที่ 1 (ILINK-W1) จำนวนไม่เกิน 15,000,000 หน่วย ให้แก่ 1) ผู้ที่ถือหุ้นเดิมที่ได้รับหุ้นปันผลที่ได้ทำการจ่ายไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 ในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 (2 หุ้นปันผลต่อใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ 1 หน่วย) (กรณีมีเศษให้ปัดทิ้ง) โดยไม่คิดมูลค่า
2) นักลงทุนทั่วไปที่ได้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 (2 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ 1 หน่วย) (กรณีมีเศษให้ปัดทิ้ง) โดยไม่คิดมูลค่า

ทั้งนี้บริษัทฯ จะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนทั่วไปครั้งนี้ในวันที่ 19-21 มิถุนายน 2556 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 21.25 บาท และกำหนดวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ILINK-W1 เป็นวันที่ 24 มิถุนายน 2556 ซึ่งจะครบกำหนดอายุการใช้สิทธิในวันที่ 23 มิถุนายน 2559



Monday, June 17, 2013

เปิด 12 หุ้นลุ้น Outperform ตลาดในครึ่งเดือนหลัง : บล.ทรีนีตี้

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2556 เวลา 11:58:40 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 มิ.ย.) ว่า หลังจากที่เราแนะนำจุดการเข้าซื้อแรกที่ระดับ 1380 จุด เราแนะนำให้นักลงทุนคงหุ้นในพอร์ทโฟลิโอไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังคงคาดการณ์การปรับตัว Rebound ของ SET Index ในช่วงครึ่งเดือนหลังเป็นต้นไปจากการชะลอตัวลงของ Fund Flow ที่ไหลออกบวกกับปัจจัยสนับสนุนภายนอก โดยหุ้นที่เราแนะนำให้ Overweight ในช่วงถัดไปซึ่งคาดจะเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาดได้แก่
1) กลุ่มสื่อสาร ได้แก่ ADVANC, INTUCH, JAS
2) กลุ่มต่อยอดจากกลุ่มสื่อสาร ได้แก่ MFEC, MONO, ILINK
3) กลุ่ม Residential ที่ปรับตัวลงมาแรง ได้แก่ LH และ QH
4) หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่ SET50 และ SET100 ที่ราคายังคง Laggard ได้แก่ CK, UV, GOLD, DEMCO

แนวรับ 1,440 แนวต้าน 1,480



Friday, June 14, 2013

MLINK ปิดบวก 16% มูลค่าซื้อขายคึก 750 ลบ. มีีลุ้นเซ็น MVNO กับกสท.

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 16:59:59 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MLINK ปิดตลาดที่ระดับ 4.76 บาท บวก 0.66 บาท หรือ 16.10% มูลค่าการซื้อขาย 749.68 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น MLINK อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 6.35 บาท เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา และต่ำสุดที่ 4.04 บาทวานนี้ (13 มิ.ย.) ก่อนจะเด้งกลับแรงในวันนี้ ขณะที่ RSI อยู่ที่ 46.54 และราคาหุ้นล่าสุดซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 0.77 เท่า และP/BV ที่ 12.25 เท่า
โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า MLINK เตรียมเซ็นสัญญาผู้ให้บริการโครงข่ายเสมือน 3 จี หรือ MVNO 3G กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัท โดยคาดว่าเป้าหมายยอดผู้ใช้บริการ MLINK จะไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านรายในระยะแรกและขยายฐานตามโครงข่ายของกสทฯ ในอนาคต ในฐานะผู้ให้บริการรายหนึ่ง นอกเหนือไปจากธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ
ขณะที่ MLINK อยู่ระหว่างพิจารณาแผนล้างขาดทุนสะสม ประมาณ 940.89 ล้านบาท (งบรวม) ซึ่งเบื้องต้นจะลงความเห็นถึงวิธีการล้างขาดทุนสะสม ด้วยการลดมูลค่าพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม ในการประชุมคณะกรรมบริหาร โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปี 2555 ที่มีรายได้จากการขายที่ 4.63 พันล้านบาท และรายได้รวมที่ 6.17 พันล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 1-2%

บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป แนะนำซื้อ MLINK ราคาเป้าหมาย 8 บาท (29 พ.ค.) โดยระบุว่าผลประกอบการ MLINK ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญหลังจากขายบริษัทพอลเทิลเนท จนสามารถปลดภาระขาดทุนและพลิกกลับมามีกำไรโดดเด่น สิ่งที่นักลงทุนคาดหวังต่อไปในยุคนี้คือการได้งานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับ 3G และพันธมิตรทางธุรกิจที่จะทำให้มีโอกาสที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจไปทำเรื่อง ระบบสารสนเทศที่ใหญ่ขึ้น



SIM ดีดแรง 4.26% เหตุมองกำไรปีนี้โตเด่นกว่า 300%-หลุดCash balance สัปดาห์หน้า

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 15:37:23 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ณ เวลา 15.31 น.อยู่ที่ระดับ 3.92 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 4.26% ราคาหุ้นดีดกลับแรง หลังจากวานนี้ (13 มิ.ย.56) อ่อนตัวลงทดสอบระดับ 3.22 บาท ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 5 แห่งแนะนำ “ซื้อ”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.08 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (14 มิ.ย. 56) ว่า คาดปีนี้สัดส่วนรายได้บริการ MVNO เพิ่มเป็น 4% ในปีนี้ประมาณการของเราคาดว่า SIM จะมีรายได้จากบริการ MVNO หลังหักส่วนแบ่งให้ TOT ประมาณ 384 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4% จาก 2% ในปี 2555 เนื่องจากโครงข่าย 3G ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงรายได้จากการขายเครื่องโทรศัพท์

เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น “ซื้อ” ราคาหุ้น SIM รอบสัปดาห์ปรับลง 10% และมากกว่าตลาด 5% ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ยังมีมุมมองบวกต่อการเติบโตของกำไรสุทธิปีนี้โดดเด่น กว่า 300% จากปี 2555 ประกอบกับระยะสั้นคาดว่า SIM มี 2 ปัจจัยบวก 1) แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/56 ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/56 จากยอดขายเครื่อง Smart phone และราคาเครื่องเฉลี่ยสูงขึ้น และ 2) จะออกจากการติด Cash balance สัปดาห์



CNT บวกกว่า 10% ได้จังหวะช้อนช่วงราคาถูก คาดรายได้ปีนี้แตะหมื่นลบ.

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 15:33:10 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT ณ เวลา 15.32 น. บวก 0.70 บาท หรือ 10.61% มาที่ 7.30 บาท สูงสุดที่ 7.40 บาท ต่ำสุดที่ 6.80 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 44.59 ล้านบาท โดยราคาปรับตัวลงต่อเนื่องจากระดับ 10 บาท เมื่อต้นเดือนมิ.ย. ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 14.00 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 3.58%
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ (14 มิ.ย.) ว่า CNT เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่พื้นฐานปรับเปลี่ยนมาแข็งแกร่งอย่าง มากตั้งแต่ปีก่อนหน้า เนื่องจากมีงานในมือประมาณมาก มีการรับรู้กำไรจำนวนมาก รวมถึงราคาหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE ของกลุ่มอย่างมาก  สิ่งที่เห็นชัดคือความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นจึงเป็นหุ้นมีอนาคตมากตัว หนึ่ง ล่าสุดมีการจ่ายหุ้นปันผลไปแล้ว แต่ยังมีหุ้นอีก 175 ล้านหุ้นที่เตรียมขายให้กับเฉพาะกลุ่ม ซึ่งคาดว่าเป็นพันธมิตรรายใหญ่

สำหรับสิ่งที่คาดหมายต่อมาคือราคาหุ้นจะต้องสูงกว่านี้ เนื่องจากบริษัทระบุชัดว่าจะนำเงินไปใช้ในธุรกิจซึ่งราคายิ่งสูงยิ่งได้เงิน มากเมื่อเจอสภาพตลาดแย่จนราคาปรับตัวลง จึงเป็นจังหวะเข้าช้อนซื้อ หากดูแนวโน้มรายได้ที่โตแรงตั้งแต่ต้นปี คาดหมายรายได้ทั้งปีใกลเคียงระดับหมื่นล้านบาท หรือประเมินกำไรสูงกว่า 600 ล้านบาท หากให้ค่า PE 15 เท่า จะได้เป้า 9.15 บาท ขณะที่ราคาปัจจุบันค่อนข้างถูก และมี story อีกมาก ด้านเทคนิคกราฟน่าสนใจ มองแนวต้านสั้นที่ 8 บาท



BLAND บวก 4.24% คาดยังเด้่งได้อีก เทรดต่ำบุ๊ค ได้ 4 จุดเด่นหนุนอัพไซด์ 63%

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 15:02:05 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND ล่าสุด ณ เวลา 14.52 น. อยู่ที่ 1.72 บาท บวก 0.07 บาท หรือ 4.24% มูลค่าการซื้อขาย 335.54 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น BLAND อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 2.16 บาท เมื่อวันที่ 14 พ.ค.56 และต่ำสุดที่ 1.61 บาท และฟื้นตัวในวันนี้ ขณะที่ RSI อยู่ที่ 31.93 โดยล่าสุด BLAND ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 14.57 เท่า และ P/BV ที่ 0.84 เท่า และข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BLAND โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 2.80 บาท หรือมีอัพไซด์กว่า 63%
โดยบล.ไทยพาณิชย์ระบุในบทวิเคราะห์ช่วงบ่ายวันนี้ (14 มิ.ย.) ว่า  หุ้นที่มีสัญญาณดี ในช่วงบ่าย ได้แก่ ASP และ BLAND ซึ่งยังไม่ขึ้นปิด Gap จากที่ลงแรงเมื่อวาน

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ว่า เรามีมุมมองในเชิงบวกต่อ BLAND  โดยคาดว่า BLAND จะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดหุ้นหนึ่งนับจากนี้ไป หลังจากเราได้เข้าพบคุณอนันต์ กาญจนพาสน์ ซึ่งถือว่าเป็นการให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ MBKET เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จุดเด่นของ BLAND ที่เราชอบ ได้แก่1) ความเป็นผู้นำในการบริหารศูนย์แสดงสินค้า โดยปัจจุบัน IMPACT มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 2) การนำเอา REIT มาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว 3) บทบาทของการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินที่มีต้นทุนต่ำบริเวณศรีนครินทร์รอพัฒนาอีกมาก ส่งผลให้มีความได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องราคาขาย และ 4) บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่งไม่มีหนี้สิน ดังนั้น เราจึงแนะนำ ซื้อ BLAND โดยมีราคาเป้าหมาย 12 เดือน เท่ากับ 2.8 บาท



PF บวก 9% ไตรมาส 2 ฟื้นตัวหลังรับรู้ I-Condo อัพไซด์ฺบาน 38%

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 14:32:46 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ล่าสุด ปิดเที่ยงที่ 1.31 บาท บวก 0.11 บาท หรือ 9.17% มูลค่าการซื้อขายที่ 35.80 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น PFอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 1.85 บาท ในวันที่ 21 พ.ค.56 และแตะระดับต่ำสุดที่ 1.19 บาทวานนี้ (13 มิ.ย.) และเริ่มฟื้นตัวในวันนี้ตามภาวะตลาดรวม หลังสัญญาณทางเทคนิคเข้าเขตขายมากเกินไป โดยล่าสุด RSI อยู่ที่ 30.32 ล่าสุด PF ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 28.55 เท่าและ P/BV ที่ 0.78 เท่า ขณะที่ข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 1 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 1.81 บาท หรือมีอัพไซด์ประมาณ 38%
ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ 6 มิ.ย.ว่า เราเห็นแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q56 ฟื้นตัว เป็นรายได้เฉพาะที่อยู่อาศัย 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นดี 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 66% จากไตรมาสก่อนหน้าเพราะมีการรับรู้รายได้คอนโดดีขึ้นจากโครงการ I-Condo ที่สุขุมวิท 105 และงานวงศ์วาน 1 รวมทั้งเมโทร พาร์ค สาทร อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นก็จะฟื้นตัว เพราะ1Q56 ต่ำผิดปกติจากการโอนโครงการที่อัตรากำไรต่ำ รวมทั้งขายบ้านเดี่ยวที่เคยทำกองทุนอสังหาฯ ไปในราคาที่ไม่สูง

ส่วนกรณีบริษัทรุกเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกเพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ แต่จะเห็นผลจริงในปี 58 และหากมีรายได้ตกปีละ 2,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13% จากรายได้ต่อปีที่ 15 พันล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ PF คาดการณ์กำไรสุทธิปี 56 และ 57 ฟื้นตัวดีเป็น 265% และ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ราคาหุ้นที่ปรับลงแรงตามภาวะตลาดฯทำให้ P/E ปี 56 ต่ำลงเป็น 11 เท่า คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้ดีเป็น 4.1% ส่วนข้อด้อยคือ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในเกณฑ์สูง สิ้น 1Q56 เป็น 1.76 เท่า



BTS บวก 2.67% หลังขึ้น XD วันแรก กูรูเล็งกำไรขายสินทรัพย์เข้า BTSGIF ใน Q2

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2556 เวลา 11:42:26 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 11.36 น. บวก 0.20 บาท หรือ 2.67% มาที่ 7.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นที่ 520.61 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 3.06% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BTS อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 8.35 บาท ในวันที่ 30 พ.ค. มาแตะที่ระดับราคา 7.50 บาท วานนี้ (13 มิ.ย.) ก่อนจะขยับขึ้นมาแตะที่ระดับราคา 7.70 บาท ในวันนี้ (RSI=37.42) ซึ่งปรับขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นรวม จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 9 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BTS โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 9.96 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น BTS เทรดที่ P/E 34.37 เท่า และ P/BV 1.76 เท่า
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14 มิ.ย.) ว่า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น BTS เนื่องจากเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่มี story หนุน จากบันทึกกำไรการขายสินทรัพย์เข้า BTSGIF 1.25 หมื่นล้านบาทในไตรมาสนี้ และลุ้นประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และชมพูประมาณเดือน ก.ย.-ต.ค.
โดยลักษณะของธุรกิจรถไฟฟ้าปลอดภัย มีความต้องการมากกว่าปริมาณรถไฟฟ้าที่มีการการันตีเงินปันผลในอีก 3 ปีข้างหน้า ไม่ต่ำกว่า 0.50 บาท, 0.59 บาท และ 0.67 บาทในปีที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ทำให้เป็นหุ้น High dividend yield ปีละไม่ต่ำกว่า 6.7% ขณะเดียวกันก็เป็น Growth stock จากโอกาสในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าในอนาคต จึงยังคงคาดกำไรปกติโต 46% ในปีนี้ ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 491% และยังคงเป้าหมาย 10.50 บาท โดยวันนี้ XD 0.045 บาท
ด้าน บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14 มิ.ย.) ว่า ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมา ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างต่ำ 7%, 8.2%, และ 9.4% ในช่วง 12-36 เดือนข้างหน้า (อิงนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 6, 7, และ 8 พันล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า) ทำให้เรามองว่า BTS เป็นหุ้นที่น่าสนใจเข้าซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว แล้ว ด้วยเงินปันผลระดับ 7-9.4%

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/56 คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่งจากการบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจรถไฟฟ้า เข้ากองทุน BTSGIF ด้วย โดยมีแนวต้านที่ระดับ 8.0-8.10 บาท



Thursday, June 13, 2013

TRUE ร่วงแล้ว 37.50% เล็งถูก Force sell-มูดี้ส์ลดเครดิต

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2556 เวลา 10:21:40 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ณ เวลา 10.18 น.อยู่ที่ระดับ 7.00 บาท ลบ 0.75 บาท หรือ 9.68% ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 56 อยู่ที่ระดับ 11.20 บาท จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวลดลงแล้ว 37.50% ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 1 แห่งแนะนำ “ซื้อ” และอีก 4 แห่ง แนะนำ”ถือ”  ส่วนอีก 7 แห่ง แนะนำ “ขาย”โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.38 บาท
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ฯในบทวิเคราะห์วันนี้ (13 มิ.ย. 56)ว่า บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จากที่มีรายงานข่าวออกมาว่า ผู้บริหารวางแผนล้างขาดทุนสะสมหมดปีนี้ (ซึ่งเป็นไปได้หากมีการออก IFF) อย่างไรก็ตาม จากการที่วานนี้ Moody ลดแนวโน้มเครดิตสู่เชิงลบ จากเดิมมีเสถียรภาพ ทำให้หุ้นเกิดแรงขายทำกำไรอย่างหนักลงมา และจากการที่หุ้นลดลงมาแล้วราว 30% ใน 2 สัปดาห์ ทำให้การลงต่อจะสุ่มเสี่ยงกับการถูกบังคับขายสำหรับลูกค้ามาร์จิ้นได้ ดังนั้น ผู้ลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง



Wednesday, June 12, 2013

MONO พื้นฐานดี วอลุ่มหนุนแรงซื้อต่อเนื่องแม้ SET Index ติดลบ

วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 12:32:09 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ปิด ตลาดช่วงเช้าบวก 0.50 บาท หรือ 3.73% มาที่ 13.90 บาท สูงสุดที่ 14.20 บาท ต่ำสุดที่ 13.30 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 962.11 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 1.21% ด้านเทคนิคราคารีบาวน์ขึ้นจากวานนี้ที่ร่วงลงกว่า 14% ตามทิศทางดัชนีหุ้นไทย
บล.ทรีนีตี้ระบุในบทวิเคราะห์ (12 มิ.ย.) ประเมินกำไรสุทธิสำหรับปีนี้ของ MONO จะเติบโตถึง 33% และจะเติบโตอีกอย่างน้อย 30% ในปีถัดไป ขณะที่ผู้บริหาร MONO ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20-30% ด้านอัตรากำไรสุทธิคาดดีขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจโมบายและธุรกิจอินเตอร์ เน็ตซึ่งมีมาร์จิ้นสูง
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ (6 มิ.ย.) ว่าพื้นฐานของบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส โดยได้แรงหนุนจากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง ขณะที่บริษัทมีอัพไซด์จากการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ และมีโอกาสในการชนะการประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิตัล ประเด็นการลงทุนคือการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทยควบคู่ไปกับราคาอุปกรณ์ที่ปรับตัวลดลงและรายได้ในการจับจ่ายใช้ สอยที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การเปิดตัว 3 จี บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ซ ในเดือนพ.ค. มีแนวโน้มทำให้เครือข่ายสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างมาก จะช่วยหนุนให้การดาวน์โหลดข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นที่นิยมมากขึ้น

นอกจากนี้เว็บไซต์ www.mthai.com ของ MONO ติดอันดับที่สามของเว็บไซต์ที่มียอดเข้าชมสูงสุดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 51 ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศในส่วนของการการโฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ต คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจอินเทอร์เน็ตของ MONO จะโตก้าวกระโดด 38% ในปี 56 ขณะที่เครือข่าย 3 จี ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้จะยิ่งทำให้เม็ดเงินโฆษณาในเว็บไซต์ เพิ่มสูงขึ้น ส่วนกรณีที่กสทช.วางแผนเปิดประมูลใบอนุญาตช่องทีวีดิจิตัลจำนวน 24 ใบอนุญาต ช่วงเดือนส.ค.-ต.ค. 56 คาดว่า MONO จะประมูลช่องรายการวาไรตี้จำนวน 1 ช่อง หากชนะการประมูล คาดว่าบริษัทจะสามารถปรับคอนเท้นต์ที่มีอยู่เพื่อออกอากาศได้โดยง่าย จากสมมติฐานราคาใบอนุญาตช่องทีวีในช่วง 500-700 ล้านบาท และเงินสดในมือหลัง IPO ของบริษัทจำนวน 2.7 ล้าน



เปิด10 หุ้น ควรระวัง! NVDR ถือครองสูง : บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2556 เวลา 10:28:49 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 มิ.ย.) ว่า เงินทุนที่ไหลออกจากสินทรัพย์ในแต่ละประเภท นำไปคืนเงินกู้ที่ใช้โอกาสของ Carry Trade และอีกส่วนหนึ่งเป็นการถือเงินสด เพื่อรอดูสถานการณ์การลงทุนในแต่ละประเภทของสินทรัพย์ ดังนั้นควรระมัดระวังหุ้นที่ NVDR ถือครองในสัดส่วนที่สูง: MBKET เชื่อว่าเงินทุนต่างชาติยังคงเลือกไหลออกจากตลาดหุ้นใน TIP ต่อเนื่อง จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังต่อหุ้นที่ NVDR ถือครองในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว เพื่อปิดความเสี่ยงจากแรงขายต่างชาติ รายงาน ณ วันที่ 11 มิ.ย. พบว่า BBL 33.76%, KBANK 28.66%, SPALI 22.35%, LPN 20.89%, INTUCH 19.20%, LH 17.43%, DTAC 15.77%, BAY 15.05%, TCAP 15.03%, AP 14.35%



Tuesday, June 11, 2013

วินเนอร์กรุ๊ปฯขายไอพีโอ 88 ล้านหุ้น ขยายคลังสินค้า-ซื้อเครื่องจักร ลุยธุรกิจเบเกอรี่

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2556 เวลา 18:03:15 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 88 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.25 บาท
โดยวินเนอร์กรุ๊ปฯ ดำเนินธุรกิจนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบส่วนผสม และเคมีภัณฑ์อาหารเพื่ออุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อบริโภค โดยมีครอบครัววอง อิสริยะกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 64.83% ซึ่งภายหลังการขายหุ้น IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 50.56% ทั้งนี้ บริษัทได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตขายหุ้น IPO ดังกล่าว และแต่งตั้งบล.ธนชาต เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น บริษัทจะนำไปใช้ลงทุนขยายคลังสินค้าประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนในเครื่องจักรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 20 ล้านบาท ลงทุนในการปรับปรุงและซ่อมแซมพื้นที่โรงงาน 10 ล้านบาท ลงทุนขยายสาขาร้านให้บริการด้านอาหาร และสร้างศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ จำนวน 20 ล้านบาท ลงทุนในระบบสารสนเทศ 20 ล้านบาท และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจและขยายธุรกิจในอนาคต
ส่วนโครงการในอนาคต บริษัทมีแผนที่จะขยายคลังสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในบริเวณที่ดิน ซึ่งเป็นที่ตั้งคลังสินค้าบางนา เพื่อรองรับการขยายตัวของการนำเข้าสินค้าประเภทอาหารแช่แข็งและอาหารแช่เย็น

นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะเปิดร้านกาแฟและเบเกอรี่ของบริษัทภายใต้แบรนด์ "Delice" จำนวน 9 สาขาภายในปี 58 ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท และบริษัทยังมีแผน จะลงทุนในศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในการลงทุน ประมาณ 5 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 57



"นกแอร์" ย้ำกำหนดเข้าเทรด 20 มิ.ย.แม้ตลาดร่วงหนัก หลังขายหุ้น IPO หมดแล้ว

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2556 เวลา 18:21:53 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นายวิทัย รัตนากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า บริษัทขอยืนยันว่ายังคงกำหนดที่จะเข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 20 มิ.ย.56 แม้ว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นจะผันผวน และวันนี้ร่วงลงไปต่ำสุดในรอบ 5 เดือน แต่เชื่อว่า downside ของตลาดจะน้อยลง เนื่องจากราคาหุ้น IPO ของสายการบินนกแอร์ที่ตั้งราคาที่ 26 บาทได้มีราคาส่วนลดมากกว่า 13-14% โดยมี P/E อยู่ที่ 11.5 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับลงไปประมาณ 10% จากดัชนีระดับ 1,550 จุด มาที่ระดับ 1,450 จุด ที่มี P/E อยู่ที่ระดับ 13 เท่า ซึ่งถือว่า เป็นระดับราคาที่ลดมากกว่าตลาดที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ หุ้น IPO ที่เสนอขายจำนวน 187.5 ล้านหุ้นขณะนี้ขายได้ทั้งหมดแล้ว แบ่งสัดส่วนให้นักลงทุนสถาบัน 57.5% จากเดิมจัดสรร 50% ซึ่งได้จัดสรรให้เพิ่มขึ้นตามความต้องการที่ทำการสำรวจความต้องการ(book building)เมื่อ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือ 42.5% ขายให้กับนักลงทุนรายย่อย ขณะที่ ราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ให้ NOK อยู่ที่ประมาณ 38-40 บาท



BLAND จ่อยื่นไฟลิ่งกองทุน REIT เดือนมิ.ย. มูลค่า 1.8-2 หมื่นลบ. เทรดปลาย ก.ย.

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2556 เวลา 16:40:08 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัทบางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND เปิดเผยว่า บริษัทจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยจะนำศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็คขายเข้าเป็นสินทรัพย์ ที่มีมูลค่าประมาณ 1.8-2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ได้ในปลายเดือนก.ย.นี้
ทั้งนี้ บริษัทจะได้เงินครึ่งหนึ่งของมูลค่ากองทุน REIT หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนส่วนต่อขยายของศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพ็ค โดยจะมีพื้นที่แสดงสินค้าเพิ่มอีก 1 แสนตร.ม. บนพื้นที่ 300 ไร่ ด้านทะเลสาบ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับอิมแพ็คในปัจจุบัน รวมทั้งเพิ่มศูนย์การประชุมขนาด 5,000 ที่นั่ง เพื่อใช้ในงานประชุม และงานคอนเสิร์ตต่างๆ
นอกจากนั้น ยังจะมีการสร้าง Entertainment Center และมีอาคารที่ประกอบด้วย Retail เข้ามาขายสินค้าได้ อีกทั้งการลงทุนสร้างโรงแรมแห่งใหม่ภายในเมืองทองธานี ขนาด 1 พันห้อง โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการออกแบบ
ขณะที่ บริษัทยังมีโครงการพัฒนาที่ดินย่านศรีนครินทร์ พื้นที่ 1,350 ไร่ เบื้องต้นจะสร้างเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ จำนวนกว่า 13,000 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการ 5-7 ปี
สำหรับขณะนี้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแรงพอสมควร โดยเฉพาะสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset) ตีมูลค่าคิดเป็นหุ้นละ 2.40 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้น BLAND ที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้
โดยในวันนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น BLAND อนุมัติให้บริษัทออก และเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 4 (BLAND-W4) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในจำนวนไม่เกิน 6,950 ล้านหน่วย ซึ่งการออก BLAND-W4 เป็นการระดมทุนอีกทางหนึ่งในการขยายกิจการซึ่งการการลงทุนระยะยาว เนื่องจากบริษัทไม่ต้องการพึ่งพิงเงินกู้จากธนาคาร ซึ่งบริษัทมองว่าการลงทุนระยะยาวหากอัตราดอกเบี้ยผันแปรจะไม่เป็นผลดีกับ บริษัท เพราะบริษัทเคยรับภาระดอกเบี้ยสูงถึงอัตราดอกเบี้ยกว่า 20%

ทั้งนี้ BLAND จัดสรร และเสนอขายวอร์แรนต์ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในอัตราส่วน 2.97 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยอายุใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ BLAND-W4  มีอายุ 5 ปี กำหนดราคาใช้สิทธิ 2 บาท กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกในวันทำการสุดท้ายของเดือนก.ย. 56



ฝรั่งมองหุ้นฟิลิปปินส์-อินโดแพง ไทยพ่วงดิ่ง 3.37% บาทอ่อน ระวัง 7 หุ้นฝรั่งตุน

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2556 เวลา 12:59:27 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ณ เวลา 12.38 น. ตลาดหุ้นไทยปิดเที่ยงที่ 1, 477.07 จุด ลดลง 51.48 จุด หรือ 3.37% ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวลดลง 2.57% และฟิลิปปินส์ปรับตัวลดลง 3.19% ขณะที่ค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 30.89/93 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ แรงขายส่วนหุ้นจะอยู่ในหุ้นกลุ่มแบงก์ และสื่อสาร
โดยข้อมูลจากการซื้อขายผ่าน NVDR ในรอบ 5 เดือนแรกของปีนี้พบว่า มีการซื้อสุทธิหุ้น INTUCH ผ่าน NVDR อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท (เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 56 บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ INTUCH ได้ขายหุ้นออกมาจำนวน 330 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการขายให้กับ NVDR ) รองลงมาเป็น DTAC 9.97 พันล้านบาท PTT 8.93 พันล้านบาท PTTGC 8.74 พันล้านบาท ADVANC 8.62 พันล้านบาท PTTEP 8.3 พันล้านบาท และ BAY 8.15 พันล้านบาท
ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า UBS ปรับลดน้ำหนักการลงทุนอินโดนีเซียสู่ระดับน้อยกว่าตลาด (Underweight) เนื่องจากราคาแพงสูงสุดอันดับที่ 4 ในตลาดเกิดใหม่ตามหลัง ฟิลลิปปินส์ เม็กซิโก และชิลี แต่ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) สำหรับประเทศไทย

นอกจากนี้ การที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจากเชิงลบสู่มี เสถียรภาพก็จะส่งผลให้เม็ดเิงินบางส่วนมีแนวโน้มที่จะไหลกลับประเทศสหรัฐจาก สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น



Monday, June 10, 2013

BWG พร้อม Test เครื่อง RDF ปลาย มิ.ย.เชื่อหนุนรายได้ทั้งปีโตทะลุ 30%

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 17:34:25 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


นายสุทัศน์ บุณยอุดมศาสตร์ รองกรรมการผู้จัดการบัญชีและการเงิน บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการพลังงานทดแทนจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel Project - RDF) ที่ดำเนินการโดยการคัดแยกและแปรรูปกากอุตสาหกรรมที่บริษัทรับเข้ามากำจัดไป เป็นเชื้อเพลิงแข็ง (RDF) จำหน่ายให้แก่โรงผลิตปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้า หรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อผลิตสินค้าในปลายเดือน มิ.ย.นี้ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิงแข็งจะติดตั้งแล้วเสร็จและสามารถทดสอบ เดินสายการผลิตได้ และคาดว่าจะสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ BWG รายงานผลประกอบการงวด 3 เดือนประจำไตรมาส 1/56 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.56 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท หรือ 15% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/55 ที่มีรายได้รวม 262 ล้านบาท ส่งผลให้ในงวดไตรมาส 1/56 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 35.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.37 ล้านบาท หรือ 61%
สำหรับการเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของ รายได้ และปริมาณกากอุตสาหกรรม หลังจากที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และขยายการให้บริการครบวงจรยิ่งขึ้น ในขณะที่ต้นทุนจากการให้บริการลดลง โดยบริษัทมีรายได้จากการให้บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม จำนวน 289 ล้านบาท เปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 263 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 26 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา10% ในขณะที่ต้นทุนจากการให้บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม

สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.56 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีต้นทุนจำนวน 193 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา 67% ของรายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 181 ล้านบาท หรือ 69% ของรายได้



UNIQ ปิดบวกแรง 9.34% ราคาทะลุเป้าหมาย ปี57โตกระโดดหลังรับรู้สายสีแดงเต็มปี

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 16:52:39 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ราคาหุ้นบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ปิดตลาดที่ 9.95 บาท บวก 0.85 บาท หรือ 9.34% มูลค่าการซื้อขายคึกคักที่ 538.92 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น UNIQ อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 12.10 บาทเมื่อวันที่ 28 พ.ค.56 และแตะระดับต่ำสุดที่ 8.55 บาท และเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโดยรวม และต่อเนื่องถึงวันนี้ โดยล่าสุด UNIQ ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 16.45 เท่า และ P/BV ที่ 3.31 เท่า ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส ให้ราคาเป้าหมายที่ 9.44 บาท
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ว่า งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 1 ( Grand Station) ที่จะเริ่มต้นรับรู้รายได้ในงวด 2Q56 เป็นต้นไป จะทำให้เห็นการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่า gross margin ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงจะอยู่ที่ 15% ซึ่งต่ำกว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ปัจจุบันทำได้ 20% แต่เชื่อว่ายอดการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาก น่าจะทำให้ UNIQ มีผลกำไรที่เติบโตขึ้นเทียบกับงวด 1Q56
ขณะที่แผนการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ปัจจุบัน UNIQ อยู่ในระหว่างการจัดซื้อที่ดินขนาด 1,700 ไร่ เพื่อเตรียมก่อสร้างเป็น Yard สำหรับการหล่อชิ้นส่วนคอนกรีต ซึ่งคาดว่าจะพร้อมใช้งานได้ในเดือน ก.ย. นี้ ส่วนการลงทุนซื้อเครื่องจักรในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตั้งงบลงทุนไว้ 2.5 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินส่วนใหญ่ในการซื้อเครื่องจักรจะมาจากการทำสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งน่าจะทยอยผ่อนชำระหมดภายในระยะเวลา 5 ปี

ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2556 ไว้ที่ 408 ล้านบาท และคาดว่า UNIQ จะมีผลกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 754 ล้านบาทในปี 2557 หลังการรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ามาอย่างเต็มที่ สำหรับ Fair Value ประเมินโดยอิง PER 25 เท่า จะให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 9.44 บาท



LPN วิ่ง 7.39% รับยอดขาย 2 โครงการใหม่เต็ม เล็งเปิดเพิ่ม 2 แห่ง ใน 3Q56

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 15:44:55 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ณ เวลา 15.40 น. บวก 1.70 บาท หรือ 7.39% มาที่ 24.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 172 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.75% ทั้งนี้ ราคาหุ้น LPN จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 10 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” LPN จำนวน 4 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 24.73 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น LPN เทรดที่ P/E 14.87 เท่า และ P/BV 4.21 เท่า
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า แนะ "เก็งกำไร" หุ้น LPN เนื่องจากราคาหุ้นมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกในวันนี้ หลังยอดขายโครงการเปิดใหม่ทั้ง 2 แห่ง คือพระราม 9 และศรีนครินทร์- หัวหมาก มูลค่ารวมสูงถึง 5 พันล้านบาท มียอดจองเต็มทั้งจำนวนในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 แห่ง ในไตรมาส 3/56 คือ โครงการลุมพินี สวีท สุขุมวิท 24 มูลค่า 3 พันล้านบาท และลุมพินี รังสิต มูลค่า 6 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดและเป็นปัจจัยบวกที่รออยู่
ขณะที่ จุดเด่นของ LPN คือความมั่นคงของรายได้ โดยประมาณการรายได้ปี 2556 ที่ 16,301 ล้านบาท มี Backlog รองรับถึง 93% และคาดกำไรสุทธิปี 2556 ที่ 2.7 พันล้านบาท +24.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง โดยคาดการณ์เงินปันผลปี 2556 หุ้นละ 0.94 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.1%
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า การเปิดตัวคอนโดมิเนียมสองโครงการใหม่อย่างประสบความสำเร็จเมื่อสุดสัปดาห์ ที่ผ่านมาจะช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น (หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงถึง 10% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา) ปัจจัยหนุนในระยะสั้นจะมาจากความเป็นไปได้ที่บริษัทจะรายงานสถิติสูงสุดใหม่ ของยอดจองซื้อสองไตรมาสติดต่อกัน (ไตรมาส 2-3/56) ผนวกกับ LPN จะรายงานกำไรเติบโตทั้ง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 2/56 และไตรมาส 3/56 จะเป็นไตรมาสที่ดีทีสุดของปี โดยล่าสุด LPN มีความชัดเจนของรายได้ปี 56-57 มากที่สุดในกลุ่มอสังหาฯ (ประเภทที่อยู่อาศัย) เราคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 56 ที่ 27.50 บาท อ้างอิงจาก PER ที่ 15.0 เท่า

ขณะที่ เราประมาณการแนวโน้มรายได้ของ LPN แข็งแกร่ง จากรายได้ในไตรมาส 1/56 ที่  2.3 พันล้านบาท เป็นอย่างน้อย 3 พันล้านบาทในไตรมาส 2/56 และ 5.5 พันล้านบาทในไตรมาส 3/56 (เป็นไตรมาสที่รายได้สูงสุดของปี) โดยกำไรในไตรมาส 2-3/56 จะเติบโตก้าวกระโดดทั้ง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งสองไตรมาส หนุนโดยการโอนคอนโดลุมพินี พาร์ค หาดจอมเทียน พัทยา (มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท จองแล้ว 80%) และคอนโดลุมพินี พาร์ค เมกะ ซิตี้ บางนา ตึก A B E และ D (มูลค่าโครงการ 3.2 พันล้านบาท จองแล้ว 73%) ทั้งนี้เรามองว่ามีความเป็นได้มากที่อัตรากำไรขั้นต้นของคอนโดลุมพินี พาร์ค หาดจอมเทียนอาจสูงกว่าสมมติฐานกำไรขั้นต้นเฉลี่ยปี 32.2%



SC ราคาน่าซื้อหลังปรับลงแรงกว่าตลาด โครงการใหม่ดันยอดขายเพิ่ม 2 พันลบ.

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 12:33:12 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ปิดตลาดช่วงเช้าอยู่ที่ 5.10 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุดที่ 5.20 จุด ต่ำสุดที่ 5.05 จุด มูลค่าซื้อขายที่ 14.82 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrdae.com โบรกเกอร์ 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 3 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 5.68 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.10%
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (10 มิ.ย.) ว่า ตั้งแต่ต้น พ.ค.56 ถึงปัจจุบันราคาหุ้น SC ปรับลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ถือว่าปรับลงในอัตรามากกว่า SET ที่ปรับลง 5% ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง แม้บริษัทจะมีการใช้ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่สูงขึ้นในปีนี้ แต่คาดว่าได้สะท้อนไปยังราคาหุ้นพอควรแล้ว ขณะที่ด้านดีคือช่วยเพิ่มยอดขายปีนี้ให้บรรลุเป้าที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และเพิ่มปริมาณ Backlog ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" จากเดิมถือ ราคาหุ้นที่ดิ่งลง ทำให้ P/E ปี 56 เหลือ 12.8 เท่า เทียบกับอัตราการเติบโตกำไรสุทธิต่อหุ้นปีนี้และปีหน้าที่สูงคือ 19% และ 36% ตามลำดับ แต่จำนวนหุ้นที่เพิ่มจากการปันผลเป็นหุ้นในงวดปี 56 จึงเกิด dilution effect ราคาพื้นฐานเป็น 6.40 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 56 ที่ 16 เท่า คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลงวดปีนี้น่าพอใจเป็น 3.1% ขณะที่การเปิดตัวคอนโดใหม่ 3 แห่งแบรนด์ "เซ็นทริค" ในการฉลองครบรอบ 10 ปี ซึ่งเปิดขายที่พารากอน 20-23 มิ.ย.56 นี้ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้อีก 2 พันล้านบาท



BEC ขยับขึ้นอีก รับผลบวกการปรับขึ้นค่าโฆษณาต้นปีนี้ ดันกำไรทั้งปีสดใส ลุ้นกำไรQ2 นิวไฮ

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 12:12:20 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ณ เวลา 12.05 น. บวก 1 บาท หรือ 1.54% มาที่ 66 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 48.56 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.21% ทั้งนี้ ราคาหุ้น BEC ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 65 บาท ในวันที่ 7 มิ.ย. มาแตะที่ระดับราคา 65.75 บาท ในวันนี้ (RSI=48.99) จากข้อมูล www.setrrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 6 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” BEC จำนวน 4 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 69.85 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น BEC เทรดที่ P/E 25.72 เท่า และ P/BV 18.61 เท่า
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” หุ้น BEC เนื่องจากราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงมาจนมี Upside 20% จากมูลค่าพื้นฐาน อิงวิธี DCF ซึ่งอยู่ที่ 78 บาท บวกกับคาดผลตอบแทนเงินปันผลทั้งปี 56 สูงถึง 4.3% อีกทั้งยังเห็นผลประกอบการดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะที่ ผลบวกการปรับขึ้นค่าโฆษณาต้นปีนี้ ช่วยให้กำไรทั้งปียังเติบโต 20% ตามคาด โดย จัดเป็นสถานีที่มีฐานผู้ชมในเขตกรุงเทพและปริมณฑลสูงสุด และมีการพัฒนารายการเพื่อเพิ่มฐานรายได้อย่างไม่หยุดยั้งทั้งรายการละคร รายการข่าว และรายการ Seasonal Program ช่วงเสาร์-อาทิตย์ ส่งผลให้ฐานกำไรมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดทั้งปี 56 กำไรสุทธิจะเติบโตได้ประมาณ 20% ขณะที่ในอนาคต จะมีปัจจัยกดดันจากการเปิดประมูลช่องทีวีดิจิทัลทางธุรกิจอีก 24 ช่องในช่วงส.ค.-ก.ย.ปีนี้ ที่จะทำให้มีคู่แข่งมาช่วงชิงเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีเพิ่มมากขึ้น และกดดันให้การปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาเป็นไปได้ยากลำบากกว่าปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามด้วยความพร้อมด้านฐานผู้ชม ความแข็งแกร่งทางด้านคอนเทนต์ และความพร้อมทางการเงินของ BEC คาดช่วยให้สามารถชนะการประมูลช่องทีวีดิจิทัลธุรกิจถึง 3 ช่อง ประกอบด้วยช่อง HD ที่จะนำมาออกอากาศทดแทนช่อง 3 ที่เป็นอนาล็อคปัจจุบัน ช่องวาไรตี้ และช่องเด็ก ทำให้ BEC มีกำลังให้บริการที่เพิ่มขึ้นมาก มาช่วยชดเชยอัตราค่าโฆษณาในอนาคตที่มีโอกาสปรับขึ้นยากตามสภาพการแข่งขันที่ สูงขึ้น และทำให้กำไรของ BEC ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ หลังจากการเปิดตัวช่องธุรกิจทีวีดิจิทัลอย่างเป็นทางการแล้ว
นอกจากนี้ ผู้บริหาร BEC เปิดเผยว่ารายได้ค่าโฆษณาของช่อง 3 ในเดือนเม.ย.นี้ เติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับตัวเลขเม็ดโฆษณาเดือนเม.ย. 56 ผ่านสื่อช่อง 3 ที่นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ชรายงานว่าเติบโต 11.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มากกว่าอัตราเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีโดยรวมที่เติบโตเพียง 3.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ผู้บริหาร BEC ให้ความเห็นว่ารายได้ค่าโฆษณาเดือนมิ.ย. ของปีก่อนมีฐานสูงมากจากผลของการถ่ายทอดสดบอลยูโร จึงเชื่อว่ารายได้ค่าโฆษณางวดไตรมาส 2/56 มีแนวโน้มเติบโตน้อยกว่าเดือนเม.ย.56 เป็นผลให้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่ารายได้ค่าโฆษณางวดไตรมาส 2/56 ของ BEC จะเติบโตประมาณ 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยผลักดันจากการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาและ รายการ Seasonal Reality Show ที่ออกอากาศเพิ่มขึ้นในงวดไตรมาส 2/56 อาทิ Miss Country Girl, The Voice Kids และ Thailand got Talent Season 3 รวมถึงรายการใหม่ครัวคุณต๋อย ซึ่งมีอัตราค่าโฆษณา 2 แสนต่อนาที และให้ส่วนลด 20% ที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่ พ.ค. 56 ที่ผ่านมา แทนภาพยนตร์ตำนานรักดอกเหมย ซึ่งเป็นตัวแถมให้ผู้ลงโฆษณาละครค่ำหลังข่าว ซึ่งมีการยกเลิกไป ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นจาก 52.5% ในงวดไตรมาส 2/55 เป็น 56.5% และสัดส่วน SG&A ต่อ Sales ที่คาดจะลดลงจาก 11.5% ในงวดไตรมาส 2/55 เหลือ 11% ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/56 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคง เพิ่มขึ้น 7.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามผลบวกของฤดูกาล



MINT บวก 3.73% ลุ้นกำไร 2Q56 โตแกร่ง จากภาคท่องเที่ยวไทยหนุน

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 11:34:47 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ณ เวลา 11.29 น. บวก 0.90 บาท หรือ 3.73% มาที่ 25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 92.65 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 1.17% ทั้งนี้ ราคาหุ้น MINT ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (7 มิ.ย.) ที่ระดับราคา 24.10 บาท มาแตะที่ระดับราคา 25 บาท ในวันนี้ (RSI=47.61) โดยก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้อ่อนตัวลงตามตลาดรวม จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 8 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” MINT จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” และอีก 1 แห่ง แนะนำ “ขาย” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 27.71 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น MONT เทรดที่ P/E 27.18 เท่า และ P/BV 4.30 เท่า
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (10 มิ.ย.) ว่า การลงทุนเน้น Follow เป็นหลัก (ให้น้ำหนักกับกลยุทธ์แบบ Contarian น้อยเนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ว่า SET อาจยังไม่สิ้นสุดการพักฐาน) ทั้งนี้การรีบาวด์ที่ไม่ผ่าน 1550 จุดควรขาย/ลดพอร์ตตาม โดยเฉพาะพอร์ตที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย เพราะมีโอกาสที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงแบบมีนัยสำคัญอีกรอบ แต่ถ้าผ่าน 1550 ขึ้นไปได้ให้เลือกซื้อ/ถือต่อเพื่อลุ้นแนวต้านต่อไปที่ 1580-1600, 1620-1630 จุด (ช่วงนี้ต้องดูและปรับกลยุทธ์เป็น Step ไป) หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ ได้แก่ MINT (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 32 บาท) และ THCOM (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 42 บาท)
ขณะที่ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MINT โดยให้ราคาพื้นฐานที่ 32 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/56 จะเติบโตแข็งแกร่งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากภาคท่องเที่ยวของไทยที่เติบโตแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ในไตรมาส 1/56 ธุรกิจโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง ที่คิดเป็น 40% ของรายได้ธุรกิจนี้ทั้งหมดนั้นเติบโตสูงถึง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีโมเมนตัมที่ดีต่อ ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วง Low season ของภาคท่องเที่ยว แต่ผู้บริหารเชื่อว่าธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะขยายตัวได้ดีเป็นเลขสองหลัก ขณะเดียวกันธุรกิจอาหารและธุรกิจจัดจำหน่ายก็เติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยธุรกิจ QSR ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าเครือข่าย QSR จะเติบโตได้ราวปีละ 8-10% ซึ่งทำให้ยอดขายสูงขึ้น และอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากประหยัดจากการขยายขนาด (Economy of scale) ธุรกิจอาหารในประเทศจีนมีแนวโน้มว่าจะพลิกจากขาดทุนเป็นคุ้มทุน/กำไรเล็ก น้อยได้ในปี 56

ส่วนยอดขายสมาชิก Anantara Vacation Club (AVC) เพิ่มสูงอย่างมาก (+42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 1/56) มีส่วนผลักดันการยอดขายอสังหาริมทรัพย์ยังมีความแข็งแกร่ง แนวโน้มการเติบโตดีต่อเนื่อง แผนการเปิดธุรกิจโรงแรมเพิ่มเติมทั้งที่บริษัทลงทุนเอง 2 แห่ง ผนวกกับที่บริษัทได้รับว่าจ้างบริหารอีก 6 แห่งภายในสิ้นปี 56 หลังจากที่ได้เข้าซื้อกิจการโรงแรม 2 แห่ง (ในเวียดนาม) มาบริหารเอง และโรงแรมใหม่ที่ได้รับการว่าจ้างบริหารอีก 1 แห่ง ในไตรมาส 1/56



CNT หวังมี Backlog เป็น 8 พัน-1 หมื่นลบ.สิ้นปีนี้ ลุ้นรายได้ 9 พันลบ.

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 11:15:14 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมีมูลค่างานในมือ (Backlog) เป็น 8 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท ในสิ้นปีนี้ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/56 มี Backlog อยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ประมาณ 80%
สำหรับในปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 พันล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 8% ใกล้เคียงปีก่อนที่อยู่ในระดับ 8.86% และในช่วงไตรมาส 3/56 เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ซึ่งคาดว่าจะได้เงินมาประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนในอนาคต



นกแอร์ เคาะราคา IPO หุ้นละ 26 บ.ขาย 12-14 มิ.ย.,เทรด 20 มิ.ย.

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2556 เวลา 09:41:55 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 26 บาท จากช่วงราคา 25-28 บาท โดยจะเปิดจองซื้อในวันที่ 12-14 มิ.ย.56 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในวันที่ 20 มิ.ย.56



Monday, April 29, 2013

CK เล็งกำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปีก่อน รวมทั้งบันทึกกำไรขายหุ้น BMCL


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 15:49:34 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ  ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดปีนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนจากงานในมือ (backlog) ที่มีจำนวนมาก อีกทั้งจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ประมาณ 1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/56 โดยบริษัทจะยังคงรักษาสัดส่วนถือหุ้นใน BMCL ไว้ระดับปัจจุบันที่ 16%
ขณะที่มีงานในมือ (backlog) ณ เดือนเม.ย.ที่ระดับ 1.65 แสนล้านบาท และคาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะมีงานในมือเข้ามาอีก 3-4 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะออกหุ้นกู้ 3-4 พันล้านบาทในช่วงกลางปีนี้ เนื่องจากมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ประมาณ 3 พันล้านบาท
ส่วนการนำหุ้นบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (CKP) เข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นั้น บริษัทคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ในประเทศลาว ที่กลุ่มบริษัทถือหุ้นอยู่นั้น มีแผนที่จะลงทุนปีละ 700 ล้านบาท ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 60



แม็ค กรุ๊ป เตรียมขาย IPO 200 ล้านหุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 14:04:20 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

น.ส.สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป  ในฐานะผู้จัดจำหน่ายกางเกง“แม็ค ยีนส์" เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมสำหรับการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) “ธนชาต" เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)
แม็คกรุ๊ป ประกอบธุรกิจเป็นผู้บริหารการจัดจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องแต่งกายที่เกี่ยวข้อง ภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัทฯ และเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น โดยได้เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2518 จากการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปประเภทยีนส์ภายใต้แบรนด์ของตนเอง คือ “แม็ค" (Mc) ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องมากว่า 38 ปี
ในปี 2555 กลุ่มบริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการขยายตัว และมุ่งเน้นการบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ การเปิดร้านค้าของตนเองให้ครอบคลุม และพร้อมที่จะก้าวไปสู่การขยายตัวในต่างประเทศรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน (AEC) โดยบริษัทฯ ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2556 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินค้าภายใต้แบรนด์แม็ค (Mc) แม็คเลดี้ (McLady) และไบสัน (Bison) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปประเภทยีนส์ และเครื่องแต่งกายที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนขยายฐานการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2556 เพื่อตอบโจทย์ต่อไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวแบรนด์ “แม็ค พิงค์" (Mc Pink)ซึ่งเป็นเสื้อผ้าในกลุ่ม Fast fashion สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน และในกลางปี 2556 บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดแบรนด์ “แม็ค มินิ"(Mc Mini) เป็นผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับเด็ก รวมถึงการเปิดเว็ปไซท์ “www.wowme.co.th" แหล่งช้อปปิ้งออนไลน์ สำหรับจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่าน ช่องทางอินเตอร์เน็ต
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้วางแผนการขยายร้านค้าปลีกของตนเอง และจุดขายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์สโตร์ชั้นนำทั่วประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2555 บริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 511 แห่งทั่วประเทศไทย และคาดว่าภายในปีสิ้นปี 2556 จะมีช่องทางจัดจำหน่าย 596 แห่งทั่วประเทศ
ในปี 2557 บริษัทฯ มีการวางแผนด้านโลจิสติกเพื่อให้การกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยขยายจากคลังสินค้าเดิมไปยัง ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ และวางแผนที่จะเปิดศูนย์การออกแบบผลิตภัณฑ์และโชว์รูม (Design center) ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำ ตลาดได้อย่างยั่งยืน
ด้านน.ส.สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บล. ธนชาต กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ในระหว่างได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ดำเนินการนำหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งบริษัทฯ ได้ออกหุ้นสามัญเพื่อเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ไม่เกิน 200,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท
บริษัทฯมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ หลังหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหุ้น เพื่อลงทุนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทฯ ลงทุนในคลังสินค้า ศูนย์การกระจายสินค้าใหม่ และศูนย์ออกแบบ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ



TCAP บวก 3 วันติด กูรูมองงบดุลที่มีคุณภาพ ราคาต่ำกว่ามูลค่า


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 12:31:17 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ณ เวลา 12.25 น. บวก 0.75 บาท หรือ 1.64% มาที่ 46.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 339.21 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.03% ทั้งนี้ ราคาหุ้น TCAP ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 วันติดต่อกัน ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย. ที่ระดับราคา 44.50 บาท มาแตะที่ระดับราคา 46.50 บาท ในวันนี้ (RSI=62.86) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 8 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” TCAP และอีก 5 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 50.26 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น TCAP เทรดที่ P/E 10.67 เท่า และ P/BV 1.37 เท่า
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 เม.ย.) ว่า TCAP เป็นหุ้นเด่นรายวัน เนื่องจากเราปรับประมาณการกำไรหลักของ TCAP ในปี 56-58 ขึ้นโดยเฉลี่ย 4% เพื่อสะท้อนรายได้ค่าธรรมเนียมไตรมาส 1/56 ที่แข็งแกร่ง และสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ดีขึ้นในระยะกลาง ความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและจำนวนการตั้งสำรองฯ ที่น้อยไปน่าจะคลี่คลายลง เมื่อมีการขายหุ้น “ธนชาตประกันชีวิต” ออกไปในไตรมาส 2/56 (มีกำไร 4.7 พันล้านบาท) ซึ่งจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นมาอยู่ที่ 9.5% ในสิ้นปี 56 จากที่อยู่น้อยกว่า 8% ในไตรมาส 1/56
ทั้งนี้ เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” โดยปรับมูลค่าที่เหมาะสมตามวิธี GGM เป็น 51 บาท จาก 42 บาท อ้างอิง RoE 13.25% และ CoE 12.2% และการเติบโตในระยะยาว 7% โดยในกลุ่มธนาคารระดับกลางเราแนะนำ TCAP มากกว่า KTB เนื่องจากราคาหุ้นที่ Laggard และการตั้งสำรองที่ดีกว่า KTB โดยมีความเสี่ยงคือ 1) ไม่สามารถขึ้นค่าธรรมเนียมได้ 2) คุณภาพสินเชื่อที่ลดลง



CK เก็งรายได้ขั้นต่ำปีนี้ที่ 2.5-2.8 หมื่นลบ. จากงานในมือทำนิวไฮ


วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 12:54:28 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้ขั้นต่ำที่ประมาณ 2.5-2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะที่มองอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin) ที่ระดับ 8-10% เนื่องจากตอนนี้บริษัทมีงานในมือนับว่ามากสุดเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างมั่นคง 5-6 ปี ซึ่งจะหนุนรายได้ปีนี้ให้เติบโตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนที่รัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเข้าร่วมประมูลได้ทุกโครงการ โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งใน โครงการต่างๆ 25-30%



AP วิ่งแล้ว 10.06% กูรูมองครึ่งหลังปีนี้แข็งแกร่งสุด ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก เป้า 11 บ.

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2556 เวลา 11:16:09 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ณ เวลา 11.05 น.อยู่ที่ระดับ 9.30 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.09 % ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ลงมาทดสอบระดับ 8.45 บาท เมื่อวันที่ 9 เม.ย.56 จนถึงล่าสุดหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 10.06%ขณะที่ข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทั้งหมดจำนวน 7 แห่งแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.46 บาท
บล.ดีบีเอสฯระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (29 เม.ย.56) ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส1/56 อ่อนลง คือลดลง 43% เทียบปีก่อน สืบเนื่องจากการโอนคอนโดได้น้อย อีกทั้งอัตรากำไรที่ลดลง ตามการโอนคอนโดที่น้อยลง ซึ่งปกติอัตรากำไรของคอนโดนั้นสูงกว่าแนวราบ ทั้งนี้รายได้ในไตรมาส1/56 มีสัดส่วนมาจากคอนโดที่เพียง 30% จากรายได้ทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับ ไตรมาสก่อน กำไรลดลงถึง 73% เพราะฐาน ไตรมาส 4/55 AP มีการโอนคอนโดเป็นจำนวนมาก
แต่คาดว่ากำไรไตรมาส 2/56 ฟื้นตัวและ ครึ่งหลังปีนี้แข็งแกร่งที่สุด สืบเนื่องจากมีคอนโดก่อสร้างแล้วเสร็จและมีการโอนมากในช่วงระยะเวลานั้น เราคาดว่ายอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปลายไตรมาส 1/56 เป็น 28.3 พันล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการรับรู้รายได้ปีนี้และปีหน้าในจำนวน 11 และ 8.5 พันล้านบาท ตามลำดับ และส่วนที่เหลือในปี 57 ดังนั้น Backlog ที่สูงจึงเป็นการรับประกันประมาณการรายได้ในสัดส่วน 70% สำหรับปีนี้ และ 37% ในปีหน้า ถือว่ามั่นคง
แนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นยังถูก นั่นคือขณะที่ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มที่อยู่อาศัยซื้อขายเพิ่มจากค่าเฉลี่ย (Mean) ในอดีตที่ +1SD หรือ +2SD แต่ AP ซื้อขายเพียงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ด้านกำไรสุทธิกลับทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ จึงถือว่าน่าสนใจสำหรับการซื้อเพื่อลงทุน ราคาหุ้นซื้อขายด้วย P/E ปี 56 ที่เพียง 10.5 เท่า กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 11.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 56 ที่ 12.5 เท่า (1 PEG)




Wednesday, April 17, 2013

BTSGIF เทรด 19 เม.ย. โชว์ 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ BTS-มอร์แกน สแตนลีย์-ยูบีเอส


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 14:36:38 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ กลุ่มบริการ ในวันที่ 19 เมษายน 2556 เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) กองแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดย BTSGIF เสนอขายหน่วยลงทุนต่อประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 4 เมษายน 2556 จำนวน 5,788 ล้านหน่วย ในราคาหน่วยละ 10.80 บาท รวมมูลค่าเสนอขาย 62,510.40 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เป็นบริษัทจัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
BTSGIF ลงทุนในรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่ง มวลชนกรุงเทพสายหลักหักต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามสัญญาที่ได้ตกลง ไว้กับกองทุน นับจากวันที่กองทุนและบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) ทำการซื้อขายเสร็จสิ้นจนถึงวันสิ้นสุดอายุสัญญาสัมปทาน (4 ธันวาคม  2572) ทั้งนี้ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักที่กองทุนจะเข้าลงทุน ได้แก่ สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุช) และสายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ครอบคลุมระยะทาง 23.5 กิโลเมตร โดย BTSC ยังคงเป็นผู้ดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลักดังกล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่ากองทุน BTSGIF จะทำให้นักลงทุนได้มีส่วนร่วมลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และให้โอกาสแก่ผู้ลงทุนทุกประเภทที่ต้องการโอกาสรับรายได้สม่ำเสมอจากการลง ทุนในธุรกิจขนส่งมวลชนทางรางของบีทีเอส ซึ่งเป็นวิธีการสัญจรที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน เพราะทั้งสองเส้นทางผ่านพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร รวมถึงมีโอกาสรับประโยชน์จากรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของจำนวนผู้โดยสาร จากการขยายระบบเครือข่ายขนส่งมวลชน การเพิ่มขบวนรถไฟฟ้าและการปรับค่าโดยสารตามรูปแบบของสัญญาสัมปทาน รวมถึงการบริหารงานโดย BTSC ซึ่งมีประสบการณ์ในการบริหารระบบขนส่งมวลชนทางราง ทำให้ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับที่ดีในช่วงเสนอขาย หน่วยลงทุน
ทั้งนี้ BTSGIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลและการคืนเงินลงทุนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการกองทุน โดยกองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยมากกว่าปีละ 1 ครั้งในกรณีที่กองทุนมีกำไรสะสมเพียงพอ เมื่อรวมแล้วในแต่ละรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
โดย BTSGIF มีผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 33.33 % MORGAN STANLEY & CO. INTERNATIONAL PLC. ถือหุ้น 21.33% และ UBS SECURITIES PTE LTD. ถือหุ้น 21.33%



TMB บวก 1.57% สื่อตีข่าว ING เตรียมขายหุ้นเดือนหน้า เทคนิคซื้อสะสม


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 12:59:26 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ปิดตลาดช่วงเช้าบวก 0.04 บาท หรือ 1.57% มาที่ 2.58 บาท สูงสุดที่ 2.62 บาท ต่ำสุดที่ 2.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 422,61 ล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 1 แห่ง แนะนำ "ซื้อ", 2 แห่ง แนะนำ "ถือ" และ 2 แห่ง แนะนำ "ขาย" โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 2.52 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.31%
โดยราคาหุ้น TMB ปรับตัวขึ้นขณะที่มีข่าวว่าไอเอ็นจี เอ็นวี ธนาคารยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ เตรียมขายหุ้นที่ถืออยู่ในเดือนหน้า ทั้งนี้แหล่งข่าวเผยกับรอยเตอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ไอเอ็นจีฯเตรียมขายหุ้นมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่ถือครองอยู่ 31% ใน TMB เดือนหน้า หลังการเลือกตั้งในมาเลเซียที่กำหนดมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ค. สำหรับการที่ไอเอ็นจี กำหนดเวลาขายหุ้นในเดือนหน้านั้น เนื่องจากต้องการให้ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และมาลายัน แบงกิ้ง หรือเมย์แบงก์ ซึ่งเป็น 2 แบงก์ยักษ์ใหญ่ของมาเลเซียเข้าร่วมประมูลด้วย โดยมีการคาดกันว่า ธนาคารทั้ง 2 แห่งดังกล่าว รวมทั้งสถาบันการเงินที่สนใจเข้าร่วมการประมูลจากมาเลเซียจะยังไม่ดำเนินการ ใดๆ จนกว่ามาเลเซียจะเสร็จสิ้นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่าไอเอ็นจี ได้แต่งตั้งเจ.พี.มอร์แกนให้หาผู้สนใจที่จะเข้าซื้อหุ้น TMB
ด้านเทคนิคบล.โกลเบล็กระบุในบทวิเคราะห์ (17 เม.ย.) ว่า ราคา TMB ปิดเป็นแท่งเทียนแดงแต่ราคายังสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันและ 10 วัน หากวันนี้ราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย ดังกล่าวได้จะเกิดสัญญาณ Golden Cross แนะนำ "ซื้อสะสม" ทั้งนี้ให้แนวรับที่ 2.46, 2.38 บาท แนวต้านที่ 2.66, 2.80 บาท



KMC คุยผถห.แห่จองหุ้นเพิ่มทุนล้น รับทรัพย์ 2.1 พันลบ. เตรียมแถลงแผนลงทุนใหม่


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 12:13:45 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยถึงผลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 4,223,536,546 หุ้น ที่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ซึ่งครบกำหนดการใช้สิทธิ์ไปเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมาว่าได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี โดยมีการแสดงความจำนงซื้อหุ้นเกินสิทธิ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นที่มีต่อ KMC หลังจากที่บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตาม แผนธุรกิจที่เคยประกาศเอาไว้
ทั้งนี้การเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทจะได้รับเงินประมาณ 2,100 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะใช้เงินเพื่อลงทุนต่อยอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูป แบบ เพื่อขับเคลื่อนให้ KMC สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ซึ่งทีมผู้บริหารเตรียมที่จะแถลงแผนการลงทุนใหม่ในเร็วๆ นี้
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/2556 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเริ่มเห็นตัวเลขกำไรได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในส่วนของ โครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra รัชดา ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม The Kris Extra Rama 9 เฟสแรก จำนวน 4 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการขายเฟสแรกได้ภายในปีนี้  ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้ทันทีในปีนี้ จำนวน 1,100 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอน และจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของ KMC ในปี 2556 นี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายรวมแตะ 1,500 ล้านบาท



CIMB คาดเข้าจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยภายใน Q4/56


วันพุธที่ 17 เมษายน 2556 เวลา 11:01:50 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายนาซีร์ ราซัค ซีอีโอของซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิงส์ของมาเลเซีย เปิดเผยวันนี้ว่า ซีไอเอ็มบี ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ไทยภายในไตรมาส 4 ปีนี้



Friday, April 12, 2013

HMPRO ลบ 12.57% ขึ้น XD วันแรก ทยอยสะสมรับเมกาโฮม-กองอสังหา


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 15:24:31 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ล่าสุด ณ เวลา 14.56 น. อยู่ที่ 14.60 บาท ลดลง 2.10 บาท หรือ 12.57% มูลค่าการซื้อขาย 278.57 ล้านบาท โดยวันนี้ (12 เม.ย.)  HMPRO ขึ้นเครื่องหมาย XD ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล ซึ่งจ่ายเป็นเงินสดในอัตราที่ 0.0186 บาทต่อหุ้น และจ่ายเป็นหุ้นในอัตรา 6 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ โดยปัจจุบัน HMPRO ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 43.90 เท่า P/BV ที่ 11.93 เท่า ขณะที่บล.ธนชาตแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายก่อน XD ที่ 21 บาท
บล.ทรีนีตี้ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ว่า ผู้บริหาร HMPRO เปิดเผยว่าปี 2556 ตังเป้ารายได้โต 15%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจะมีแผนขยายสาขาใหม่ในไทย 10-12 แห่ง เพื่อรองรับกำลังซื้อที่เติบโตขึ้นมาก ส่วนการขยายสาขาในมาเลเซียคาดจะเริ่มเปิดได้ในปี 57 ขณะที่งบลงทุนที่ตั้งไว้ 9.8 พันล้านบาท คาดจะมาจาก CFO ที่มีเฉลี่ยปีละ 3.5 พันล้านบาทและขายหุ้นกู้วงเงิน 4-5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/56 ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างศึกษาตั้ง Property Fund หรือ REIT ทั้งนี้เราคาดปี 56 จะมีกำไรสุทธิโต 29%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในระยะยาวคาดจะโตได้ต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนเพิ่มเติมของการขยายสาขาในมาเลเซียและจากแผนขยายธุรกิจใหม่เม กาโฮมในไทย แนะนำ ซื้ออ่อนตัว โดยมีราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 16.80 บาท โดยเป้าหมายหลัง XD อยู่ที่ 14.40 บาทต่อหุ้น แต่จากศักยภาพการเติบโตที่ดี อีกทั้งเรามีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการในอนาคต เพราะปัจจุบันยังไม่ได้รวมแผนลงทุนธุรกิจใหม่เมกาโฮม



INTUCH ปรับขึ้น 3 วันติด กูรูขยับเพิ่มราคาเป้าหมาย ลุ้นประมูลทีวีดิจิตอล ส.ค.นี้


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 11:03:38 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ณ เวลา 10.57 น. บวก 1.50 บาท หรือ 1.94% มาที่ 78.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นเป็นอันดับ 2 ที่มูลค่า 483.51 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.27% ทั้งนี้ ราคาหุ้น INTUCH ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 73.50 บาท ในวันที่ 9 เม.ย. มาแตะที่ระดับราคา 78.75 บาท ในวันนี้ (RSI=56.93) จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” INTUCH โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 90.33 บาท ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้น INTUCH เทรดที่ P/E 17.97 เท่า และ P/BV 10.99 เท่า
บล.เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 เม.ย.) ว่า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น INTUCH โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 81 บาท หลังการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และคาดว่าไตรมาส 1/56 จะมีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อนหน้า (รวมรายการพิเศษ FX Gain 160 ล้านบาท) และมี Upside Risks จากการประมูลทีวีดิจิตอลในเดือนส.ค.นี้
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 เม.ย.) ว่า การฟื้นตัวของ SET น่าจะเป็นโอกาสของการปรับพอร์ต หลังสงกรานต์เชื่อว่าหุ้นจะตกต่อ โดยมีแรงกดดันจากภายนอก กลยุทธ์การลงทุนให้ถือหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำน้อยกว่าตลาด และให้ถือหุ้น 30% ของเงินลงทุน โดยยังชื่นชอบ INTUCH (FV@B98) และเลือกเป็นหุ้น Top pick



MDX แรง 3 วันติดบวก 4.32% กูรูมองเทคนิคฟอร์มตัวดีเป้ารอบนี้ 22 บ.


วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 เวลา 10:42:40 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

MDX วิ่งยาว 3 วันติด บวก 4.32% กูรูมองเทคนิคฟอร์มตัวดีเป้ารอบนี้ 22 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MDX ณ เวลา 10.44 น.อยู่ที่ระดับ 16.90 บาท บวก 0.70 บาท หรือ 4.32% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 3 วัน ติด โดยนับตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.56
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (12 เม.ย. 56) ว่า  MDX จากราคาแค่ 3-4 บาทกลายเป็นหุ้นราคา 2 หลัก และทำท่าจะไปต่อไม่หยุด หลังจากที่ผลประกอบการพุ่งทะยานอย่างน่าสนใจ ยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากโรงไฟฟ้าเข้าเต็ม ๆ รวมทั้งโรงไฟฟ้าเทิน ทำให้บริษัทมี Value เพิ่มขึ้นมาก
สิ่งที่กำลังคาดหมายกันอย่างกว้างขวางก็คือการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าในปีนี้ นั้นอย่างน้อย MDX ก็ต้องได้สักแห่ง ซึ่งจะทำให้ในอนาคตรายได้บริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมาจาก 3 แหล่ง คือ ขายที่ดิน ขายระบบสาธารณูปโภค และโรงไฟฟ้า จะทำให้รายได้ในปี 56 ควรจะมีฐานขั้นต่ำคือ 600 ล้านบาท พร้อมให้เป้าหมาย 22.7 บาท ขณะที่สัญญาณเทคนิคถือว่าฟอร์มตัวได้ดี กราฟกำลังเกิด W-shape รอบใหญ่ โดย MACD เกิด Buy signal แล้วมีเป้ารอบนี้ 22 บาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (12 เม.ย. 56) ว่า  MDX หุ้นซิ่งในกระแสประมูลโรงไฟฟ้า โดยจับมือกับมารูเบนิ เข้าร่วมประมูล พร้อมให้แนวรับ 16 บาท ส่วนแนวต้าน 17.5 บาท



Thursday, April 11, 2013

CK เก็งรายได้ Q1 ดีกว่างวดปีก่อน จ่อบุ๊คกำไรขาย BMCL ใน Q2


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 17:48:56 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในไตรมาส 1/56 ดีกว่างวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีมูลค่างานในมือมากขึ้น ขณะที่จะมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัทน้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีนี้กำไรสุทธิจะดีกว่าปีก่อน และตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตประมาณ 25-30% โดยในไตรมาส 2/56 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการ ขายหุ้น บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL เป็นมูลค่าไม่ถึง 1 พันล้านบาท



THCOM บวกยาว 5 วัน ยอดจองไทยคม 6 สูงกว่าจุดคุ้มทุนแล้ว หุ้นวิ่ง 42% ตั้งแต่ต้ันปี


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 14:52:15 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ล่าสุด ณ เวลา 14.33 น. อยู่ที่ 34.50 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 5.34% มูลค่าการซื้อขาย 208 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น THCOM อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคาสูงสุดที่ 37.25 บาท และเริ่มฟื้นตัวหลังจากราคาอ่อนตัวลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 29.50 บาท โดยวันนี้ (11 เม.ย.) ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคฟื้นตัวชัดเจน ล่าสุดราคาหุ้น THCOM ซื้อขายอยู่ที่ระดับ P/E ที่ 206.39 เท่า และ P/BV ที่ 2.53 เท่า ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จำนวน 2 แห่ง แนะนำ “ซื้อ” 7 แห่ง และอีก 2 แห่ง แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 35.64 บาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” เราคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท ด้วยผลประกอบการที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากการขยายตลาด iPSTAR และการยกเลิกธุรกิจที่ไม่ทำกำไรอย่าง Mfone โดยปี 56 ได้รับผลบวกจากการเซ็นสัญญากับลูกค้า TOT และการขายแบนด์วิชทั้งหมดในจีนให้กับกลุ่มบริษัท Synertone ในขณะที่ 3Q56 เตรียมยิงดาวเทียมไทยคม 6 ซึ่งปัจจุบันบริษัททำ Presale ไปแล้วถึง 40% เกินระดับคุ้มทุน และดีกว่าเป้าหมายเดิมของบริษัท จากแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตดีกว่าคาดทำให้เรามีการปรับเพิ่มกำไรสุทธิ ตั้งแต่ในปี 57 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 36% และปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานจากเดิม 26.30 เป็น 36.22 บาท
บล.ไทยพาณิชย์ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (11 เม.ย.) ว่า THCOM จะยิงดาวเทียมไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจรช้ากว่าคาด 2-3 เดือน เมื่ออิงกับข้อมูลจากการประชุมทางโทรศัพท์กับทีมนักลงทุนสัมพันธ์ของTHCOM พบว่า ดาวเทียมไทยคม 6 น่าจะถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรในไตรมาส3/56 และจะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่เดือน ก.ย.-ต.ค. 2556 ช้ากว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 2-3 เดือน ทำให้เรามีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรของเราลงเล็กน้อย ข่าวดี คือ ดาวเทียมไทยคม 6 มียอดจองช่องสัญญาณเข้ามาแล้ว 40% ของช่องสัญญาณทั้งหมด สูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ 30%
เรายังคงชอบ story ของ THCOM เกี่ยวกับการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน และแนวโน้มการเติบโตของทั้งธุรกิจดาวเทียมแบบทั่วไปและ iPSTAR อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าประเด็นนี้สะท้อนในราคาหุ้นไปแล้ว เนื่องจากราคาหุ้น THCOM ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 42% YTD และ EV/EBITDA ปี 2556 ที่ระดับ 9.8 เท่า ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 8.6 เท่าแล้ว ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ Neutral สำหรับ THCOM และราคาเป้าหมายที่คำนวณด้วยวิธี SOTP ที่ 38 บาท ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าของธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจโทรศัพท์ที่ 34.3 บาท/หุ้น และมูลค่าเงินลงทุน 42% ใน CSL ที่ 3.7 บาท/หุ้น



SVOA เตรียมส่ง ลีซ อิท เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ราว Q2/57


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2556 เวลา 13:47:54 น.
(ข้อมูลจากข่าวหุ้นธุรกิจ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA เปิดเผยว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้นำบริษัท ลีซ อิท จำกัด (ลีซ อิท) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนของ ลีซ อิท แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ คาดว่าจะนำ ลีซ อิทเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนภายในไตรมาส 2/57
นอกจากนี้ ลีซ อิท มีความประสงค์จะระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจโดยเพิ่มทุนจำนวน 16,000,000 บาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาท (ลีซ อิทจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 5 บาทเป็น 1 บาท ภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ลีซ อิท ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 29 เมษายน
2556)
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ลีซ อิท และอนุมัติให้ ลีซ อิทเพิ่มทุนอีกจำนวน 16,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 100,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 100,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด(Private Placement)
เหตุผลและความเห็นของคณะกรรมการในการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน ลีซ อิท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการลงทุนไปในธุรกิจที่ไม่ใช่ ธุรกิจหลัก (Core Business) ดังนั้น จึงเห็นควรให้ ลีซ อิท หาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ หรือ strategic partner รายใหม่เพื่อให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการขยายกิจการ