10 factors ที่จะมีผลต่อทองคำในปี 2019 นี้
แยกออกเป็น 2 หัวข้อกว้างๆ
Factors จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และ factors ที่มีผลโดยตรง
Possible economic developments to look for
Factors ที่เกิดจากพัฒนาการของสถานะทางเศรษฐกิจที่น่าจะเป็น
1- ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงท้ายๆของวงจรเครดิต และดูเหมือนขั้นตอนของการขยายตัวจะได้เห็นจุดจบแล้ว ..แต่เรากลับเห็นการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่รายรับภาษีน้อยลงในขณะที่ภาระสวัสดิการสูงขึ้น ..สิ่งที่ตามมาคืออัตราเงินเฟ้อของตัวเงิน monetary inflation ที่สูงขึ้น อย่างที่เราเห็นๆอยู่
2- การค้าระหว่างประเทศลดลงมาก ดูได้จากดีมานด์ของจีนที่ลดน้อยลง ไม่ต้องสงสัยว่านโยบายภาษีของสหรัฐนี่เองที่ทำให้การค้าของโลกมันพังลงได้ขนาดนี้
3- นอกจากการค้าของโลกที่ลดน้อยลงจะเป็นสัญญานว่าเศรษฐกิจโลกกำลังมีปัญหา การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเพิ่มขึ้นและการขาดดุลการค้าก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เพราะไม่อย่างนั้น อัตราเงินออมก็ต้องเพิ่มแล้ว หรือการเป็นหนี้ก็ต้องลดลงแล้ว แต่นี่ไม่เลย ..พูดอีกอย่างก็คือ การลดการค้าของโลกมีแต่จะดันให้เศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐลงเหวเร็วขึ้น ..ก็คงจะกระตุ้นให้ Fed เข้าช่วย finance รัฐบาลโดยการเพิ่ม QE อีกน่ะแหละ
4- กลุ่มประเทศเอเซีย (จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่าน) ต่างพากันทิ้งดอลล่าร์ในการชำระเงินกันแล้ว นี่มันจะมีผลอย่างมากต่อเงินทุนสำรองประเทศไม่ใช่แค่เอเซีย แต่ดอลล่าร์จะถูกเทออกทั่วไปเลย บางประเทศก็เปลี่ยนไปซื้อทองคำ เช่นรัสเซีย
5- เงินสดและทรัพย์สินในรูปของเงินดอลล่าร์ที่อยู่ในมือต่างชาติมากกว่า GDP ของสหรัฐซะอีก: $18.412 + $4.22 ล้านล้าน = $22.6 ล้านล้าน ...นี่เป็นอัตราส่วนต่อ GDP ที่มากที่สุดแล้ว ..เมื่อถึงวันที่ดอลล่าร์และตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรพังลงนั้น มันจะมีการเทขายดอลล่าร์และทรัพย์สินเหล่านั้นกันอย่างมโหฬาร
Factors directly affecting gold
Factors ที่มีผลโดยตรง
6- การเมืองของโลก โดยเฉพาะเอเซีย และรัสเซีย มีการเปลี่ยนทุนสำรองดอลล่าร์ออกเป็นทองคำ ..ถ้าเรามองว่ารัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกแล้วล่ะก็ รัสเซียยังจะต้องมีเงินดอลล่าร์จากการขายน้ำมันอีกเยอะที่จะมาเปลี่ยนเป็นทอง ..นอกจากนี้ยังมียุโรปกลาง เช่นฮังการี โปแลนด์ กำลังเปลี่ยนทุนสำรองเป็นทองคำ ก็คงจะชัดแล้วว่าลมตะวันออกพัดมาจากเอเซีย และพวกเอเซียก็รู้ซะด้วยว่า ทองน่ะเป็นจุดอ่อนของอเมริกา
7- เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นถูกทำให้เพี้ยนโดยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ..เพราะที่จริงเงินเฟ้อเท่ากับ 8% ต่อปีมาตั้งแต่ตอนที่ทองคำราคาท็อปสุดๆเมื่อเดือนกันยายน 2011 ..ตั้งแต่วันนั้นมาดอลล่าร์สูญเสียอำนาจซื้อไปประมาณ 43% ..ดังนั้นถ้าคำนวนด้วยมูลค่าของดอลล่าร์ปี 2011 ราคาทองคำวันนี้เท่ากับ $740/ออนซ์เท่านั้น ..ไม่มีใครสังเกตุเลยว่าทองคำราคาถูกแค่ไหน
8- เงินเฟ้อของตัวเงิน monetary inflation หรือปริมาณเงินจำนวนมากที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติเลห์แมนยังไม่มีการดูดซับออกไป ..FMQ ยังคงสูงกว่าก่อนวิกฤติอยู่ $5 ล้านล้าน จนถึงวันนี้ Fed ก็ยังไม่สามารถเอากลับคืนไปได้ ..ตรงข้าม อาจจะต้องเพิ่มปริมาณเงินเฟียตเพื่อช่วยรัฐบาลเมื่อตอนที่เศรษฐกิจถดถอยอีกซะด้วย
9- นี่มันอยู่ในเงื่อนไขเดียวกับที่รัฐบาลเยอรมันเจอมาแล้วเมื่อปี 1918 และ 1923 แล้วการแก้ปัญหาก็คงเป็นวิธีเดียวกัน พิมพ์เงินเพิ่มไปช่วยรัฐบาลให้มีใช้จ่าย แล้วผลของมันน่ะหรือ ความมั่งคั่งของเศรษฐกิจโดยรวมถูกทำลายโดยการดูดเข้าไปให้รัฐบาลใช้ ....แตกต่างกันแค่ว่า สหรัฐมีระบบฐานภาษีที่แข็งแกร่งกว่าเยอรมันเวลานั้นมาก อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของเงินกระดาษต่อขนาดเศรษฐกิจของประเทศก็ยังน้อยกว่า ....เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมืองออกมายอมรับถึงเรื่องเงินเฟ้อตรงๆ แต่จากสถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ ดูท่าจะยาก
10- เอกชนผู้ที่เป็นเจ้าของทองคำในโลกตะวันตกมีน้อยมาก
https://www.goldmoney.com/research/goldmoney-insights/ten-factors-to-look-for-in-gold-in-2019